Monday, October 31, 2005

เอาน่า ขำ..ขำ

ในชีวิตที่ผ่านมาของผม ก็คงต้องบอกว่าเคยมีความไม่เข้าใจกับคนรอบข้างบ้าง ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องปกติเหมือนกันทุกๆ คนอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เกิดความไม่เข้าใจกัน ส่วนใหญ่ทั้งหมดเรื่องราวก็สามารถจบลงด้วยดี ด้วยความเข้าใจกัน แม้ในบางเรื่อง บางคน อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอยู่บ้าง

แต่มีอยู่คนหนึ่ง ที่ตอนแรกพอมีเรื่องขึ้น ผมก็งงๆ อึ้งๆ ว่าเป็นอะไรหว่า ประมาณแปลกใจว่าเขาเป็นอะไร พองงๆ อึ้งๆ ผ่านไป ก็จะมีหงุดหงิดบ้าง แต่พอมาระยะหลัง ได้เห็นมากขึ้น ก็ไม่งง ไม่อึ้ง ไม่หงุดหงิดแล้ว แต่จะออกแนวขำขำมากกว่า ว่า "เอ้า!..เป็นอีกแล้วแฮะ" เป็นอะไรเนี่ย

ยิ่งพอได้เห็น ได้ทราบความคิดของเขาท่านนี้ที่มีต่อผมแล้ว น่าแปลกแฮะที่ผมไม่โกรธ แต่ผมสงสารเขานะ ว่า "โห!..คิดได้ขนาดนี้เลย" ซึ่งผมคิดว่าคนรอบข้างเขาน่าสงสาร ที่จะต้องมาอยู่กับคนแบบนี้ (เอ๊ะ..หรือผมจะโดนคนเดียว?) และที่สำคัญสงสารตัวเขาเองด้วย เขาคงยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไร ผมว่าอาจจะเพราะยังไม่มีใครกล้าเอากระจกให้เขามั้ง หรือว่าอาจจะมีแล้วโดนจับเขวี้ยงทิ้งไปก็ไม่รู้

ฮ่า..ฮ่า จบลงด้วยการประชดอีกแล้วกระผม (เหมือนเจ้าเมลวินจริงๆ) ช่างเป็นคนที่แย่เสียนี่กระไร เอาน่า ขำ..ขำ

Friday, October 28, 2005

As Good As It Gets

พอดีได้คุยกับเพื่อนซี้คนนึง ถกประเด็นกันยาวนานพอสมควร ความจริงไม่น่าจะใช่การถกประเด็น น่าจะเป็นการระบายในสิ่งที่คิดออกมา พร้อมกับส่องกระจกดูตัวเองไปด้วย ที่ต้องบอกว่าส่งกระจก เพราะไอ้เพื่อนซี้ผมคนนี้มันมีนิสัยและความคิดส่วนใหญ่ เหมือนหรือคล้ายผมมากเลย เรียกได้ว่าพอได้คุยกับมัน ทำให้เราได้มองเห็นตัวตนมากขึ้น

หลายคนอาจจะงง แล้วจั่วหัวเรื่องว่า "As Good As It Gets" ทำไม ... ก็เพราะว่าไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้แหล่ะ มันบอกว่าผมนิสัยเหมือนพระเอกในเรื่องนี้เลย (Melvin Udall รับบทโดย Jack Nicholson) เท่าที่ลองคิดไปคิดมา เออ! มันก็ใช่แฮะ แต่เป็นแบบไหน ไม่บอกละกัน ฮ่า..ฮ่า

...ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่อง ที่อยู่ในใจผมมาตลอด

Thursday, October 27, 2005

'เพี้ยนสนิท'

ไฟล์วีดีโอ เกี่ยวกับหนัง "เพื่อนสนิท" ครับ อาจจะโหลดนานสักนิด ไฟล์แรกประมาณ 7 MB. ไฟล์ที่สองประมาณ 10 MB. ครับ








ทำไมต้องมีเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนการฉายภาพยนตร์

ได้อ่านเจอมาอีกเช่นเดิมครับ สำหรับความเป็นมาถึงการเล่นเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนการจัดฉายภาพยนตร์ โดยหัวหน้างานอนุรักษ์ภาพยนตร์ หอภาพยนตร์แห่งชาติ โดม สุขวงศ์ ให้ข้อมูลซึ่งเรียบเรียงจากรายการจดหมายเหตุกรุงศรี ว่า..
ธรรมเนียมการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย น่าจะมีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 เมื่อเริ่มมีการตั้งโรงภาพยนตร์แล้ว โดยเฉพาะโรงหนังญี่ปุ่นหลวง ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ถาวรแห่งแรกในสยาม และเป็นโรงแรกที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ประดับตราแผ่นดิน

ธรรมเนียมนี้อาจได้แบบอย่างมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมืองสิงคโปร์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในปกครองของอังกฤษ มีการฉายพระบรมรูปพระราชินีอังกฤษและบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีคือเพลง "God Save the Queen-ก็อด เซฟ เดอะ ควีน" เมื่อจบรายการฉายภาพยนตร์ ให้ผู้ชมยืนถวายความเคารพ

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสชวา พ.ศ.2439 มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์บรรจบกัน 2 ประการคือ ได้ทอดพระเนตรประดิษฐกรรมผลิตภาพยนตร์ที่พระตำหนักเฮอริเคนเฮาส์ เมืองสิงคโปร์ และการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญจักรพรรดิมาลาแก่ผู้แต่งทำนองเพลงสรรเสริญพระบารมีถวาย ชื่อ นายยี.เอช.แวนสัชเตเลน ที่เมืองดยกชาการตา (ด-ยก-ชา-การตา) คือจาร์กาตาปัจจุบัน

เมื่อเสด็จกลับ โปรดเกล้าฯ นายเฮวุดเซน ครูแตรทหารมหาดเล็ก แต่งทำนองเพลงคำนับรับเสด็จอย่างเพลง God Save the Queen โดยพระราชทานทำนองเพลงที่นายแวนสัชเตเลนแต่งให้ นายเฮวุดเซนได้นำทำนองเพลงนั้นมาปรับปรุงเรียบเรียงขึ้นใหม่จนเป็นต้นเค้าของทำนองเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ใช้อยู่ โดยบทที่บรรเลงในปัจจุบัน สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์คำร้อง ส่วนทำนองประพันธ์โดย นายปโยตร์ สซูโรฟสกี้ ชาวรัสเซีย

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงแก้คำในวรรคสุดท้าย จาก "ดุจจะถวายชัย ฉะนี้" เป็น "ดุจจะถวายชัย ไชโย" และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2456

เพลงสรรเสริญพระบารมีนี้เองที่ภายหลังเมื่อมีภาพยนตร์เข้ามาฉายในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนังเงียบ ต้องมีแตรวงหรือวงเครื่องสายผสมบรรเลงประกอบการฉาย วงดังกล่าวจึงได้บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อถวายความเคารพเมื่อภาพยนตร์ฉายจบ โดยแรกๆ คงบรรเลงอย่างเดียว ต่อมาจึงฉายกระจกพระบรมรูปพระเจ้าแผ่นดินขึ้นบนจอด้วย ปฏิบัติเป็นธรรมเนียมทั่วทุกโรงภาพยนตร์ในสยาม โดยมิได้มีกฎหมายบังคับแต่อย่างใด และแม้เมื่อเปลี่ยนเป็นยุคภาพยนตร์เสียงในฟิล์มแล้ว โรงภาพยนตร์ทุกโรงยังคงฉายสไลด์พระบรมรูปและเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี

สมัยต่อมามีการเปลี่ยนเป็นฉายพระบรมฉายาลักษณ์และเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนการฉายภาพยนตร์ ก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจัดทำเป็นภาพยนตร์พระราชกรณียกิจฉายประกอบเพลงซึ่งแต่ละโรงภาพยนตร์ก็สร้างสรรค์งดงามแตกต่างกันไปในทุกวันนี้
คัดลอกมาจาก คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 8 สิงหาคม 2548

Wednesday, October 26, 2005

ecotonoha : โครงการดี + เว็บสุดเจ๋ง

หลังจากตระเวนดูเว็บไซต์ไปเรื่อยเปื่อย ก็ไปเจอเว็บไซต์ของโครงการดีๆ โครงการหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ของโครงการนี้ได้รับรางวัล Good Design Award ของประเทศญี่ปุ่นเขา โดยได้รับรางวัลในสาขา Communication Design Category ประจำปี 2005 นี้เอง

โครงการนี้ชื่อว่า ecotonoha ของบริษัท NEC รายละเอียดของโครงการ ไปอ่านได้ในเว็บไซต์เลยนะครับ แต่นอกเหนือจากความดีของโครงการนี้แล้ว อีกอย่างที่เจ๋งไม่แพ้กันก็คือ การออกแบบเว็บไซต์ ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ (ต้องลองเข้าไปดู ไปเล่นก่อนแล้วจะรู้) ผสมผสานการออกแบบกราฟฟิกต่างๆ ที่ผมคิดว่าทำออกมาได้อย่างดีมากๆ เลย

Link to ecotonoha project.

สามารถคลิกที่รูปด้านบน เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของโครงการ ecotohona ได้เลยครับ

ความคิดเจ้านาย ที่ลูกน้องควรรู้

ความคิดที่น่าสนใจ ของหัวหน้าใหญ่สุดของ "กลุ่มชิน" กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในไทย คัดมาจากกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉบับเดียวกับเรื่องก่อนหน้านี้

'บุญคลี ปลั่งศิริ' กับ สูตรลัดพัฒนา 'กลุ่มชิน'
1-2 ปีที่ผ่านมาผู้บริหารระดับสูงหลายคนของ "กลุ่มชิน" ทยอยหันหลังให้กับชีวิตการทำงานที่อาณาจักรแห่งนี้ สวนทางกับอัตราการเติบโตของ "กลุ่มชิน" ที่รุดหน้าอย่างชัดเจน

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์สถานการณ์นี้ว่าอาจเกิดจากแรงกดดันภายในอย่างรุนแรงที่ "ผู้บริหารสูงสุด" ต้องการจะไดร์ฟ หรือขับเคลื่อนองค์กรระดับ Conglomerate (องค์กรที่มีบริษัทในเครือเป็นจำนวนมาก หรือเป็นกลุ่มบริษัท นิยามโดย บางกอก) ของประเทศ ให้ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมาย

จากรูปแบบการทำงานใน "กลุ่มชิน" ที่ต้องถูกเคี่ยวกรำอย่างตลอดเวลา บางกระแสมองอีกมุมว่า นี่คือสไตล์การทำงานที่ถูกถ่ายทอดมาจาก
"บุญคลี ปลั่งศิริ" ในฐานะประธานกรรมการบริหาร "บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น" (SHIN) ที่ผู้บริหารทุกระดับชั้นในองค์กรต้องบรรลุทุกเป้าหมาย และต้องเดินอยู่ในกระบวนการพัฒนาองค์กร

แต่ "บุญคลี" ก็ยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

"ถ้าคุณคิดจะเป็นลีดเดอร์ที่ดี ก็ต้องพยายามเรียนรู้ในสิ่งที่คุณไม่รู้ แต่ถ้าจะเรียนรู้ในสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วให้ลึกยิ่งขึ้น อันนั้นคุณกำลังจะเดินไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Expertise) ก็ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่ถนนคนละทาง แต่การที่ฝึกเรียนรู้ในสิ่งที่คุณไม่รู้ ผมถือเป็นเรื่องท้าทาย"

ในเส้นทางชีวิตการทำงานของ "บุญคลี" เขาพบบ่อยครั้งว่า หลายคนทำงานไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่สามารถฝึกที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ได้ โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ มักจะไม่อยากเรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ

ความหมายคือ ต้องหัดทำอะไรในสิ่งที่เราไม่ชอบ เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง เพราะถ้าคิดแต่จะทำงานในสิ่งที่ชอบ "นั่นคุณกำลังจะสื่อว่าสิ่งที่คุณชอบนั้นถูกทั้งหมด"

นอกจากนี้ ผู้บริหารองค์กรต้องมีความเป็นลีดเดอร์ชิพ พร้อมๆกับมีความเป็นครีเอทีฟ เพราะถ้าลีดเดอร์ชิพ...ไร้ครีเอทีฟ แล้วคุณจะเอาอะไรไปสร้างหรือฝึกปรือความสามารถให้กับลูกน้อง

โดยเฉพาะเมื่อ "กลุ่มชิน" เป็นธุรกิจระดับ Conglomerate ขนาดใหญ่ "ซีอีโอ" แห่ง "ชินคอร์ป" จึงเชื่อว่าการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าพร้อมกันทั้งกลุ่ม จำเป็นต้องมองที่ "เฮดควอเตอร์" (สำนักงานใหญ่) เป็นอันดับแรก

"ทิศทางของเฮดควอเตอร์...จะอธิบายภาพทิศทางทั้งหมดของกลุ่มบริษัท"

"บุญคลี" อธิบายย้อนกลับไปตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาทำงานให้กับกลุ่มชินว่า ช่วงที่เข้ามาใหม่ๆ (ประมาณปี 2536) ผมทำการสำรวจมุมมองของพนักงานที่มีต่อองค์กร โดยเฉพาะในส่วนของเฮดควอเตอร์

ผลสำรวจบอกว่า เราคือ "กระทรวงชินคอร์ป" หมายความตามชื่อคือ รูปแบบการทำงานค่อนไปทางส่วนราชการ และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเร่งเปลี่ยนแปลงองค์กรมากระทั่งวันนี้

"แต่ถ้าหากผู้บริหารนั่งอยู่ข้างบน แล้วมองภาพทุกอย่างเป็นสแตนดาร์ด...คุณผิดแล้ว"

เพราะคิดอย่างนั้นคือข้าราชการ ซึ่งปัญหาของระบบราชการคือ คุณต้องทำทุกอย่างให้เท่าเทียมกัน เนื่องจากระบบราชการจะบริหารด้วยความเท่าเทียม ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีปัญหา...แต่เอกชนต้องไม่ใช่

"ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยความเท่าเทียม หรือมองทุกอย่างเป็นสแตนดาร์ดทั้งหมด...คุณไปไม่ได้"

อย่างนั้นองค์กรจะไม่ได้รับสิ่งที่ดี จากการที่ไม่สามารถแยกแยะ "สิ่งที่ดี" กับ "สิ่งที่ไม่ดี" ออกจากกัน

บุญคลี อธิบายว่า "เมื่อ 11 ปีก่อน ตอนที่ผมเริ่มเข้ามาทำงาน ทั้งกลุ่มชินเราจ่ายโบนัสเหมือนกัน และทำให้องค์กรมีปัญหามากกับเรื่องนี้ แต่สิ่งแรกที่เราเปลี่ยนก็คือ "เพอร์ฟอร์แมนซ์ โบนัส" ที่ไม่เหมือนกัน เพียงแต่เราจะต้องมีมาตรฐานที่ดีในความแตกต่างตรงนี้"

หลังจากนั้น "บุญคลี" ยังเดินแผนพัฒนาองค์กรด้วยการปรับโครงสร้างภายในต่อไป

"เราจะเปรียบว่าโครงสร้างองค์กรถือเป็นฮาร์ดแวร์ ทุกชิ้นส่วนต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสม จึงเริ่มย้ายคนนั้นไปอยู่ตรงนี้ คนนี้ไปตรงนั้น และทุกคนก็ทำกันได้ดี"

ขณะเดียวกัน ระหว่างการปรับโครงสร้าง "บุญคลี" ก็พยายาม "ไดร์ฟ" องค์กรอีกทาง เพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าไปทำงานอยู่ "บิซิเนส ยูนิต" ที่เหมาะสม แล้วจึงเร่งเร้าประสิทธิภาพการแข่งขัน สร้างยอดขาย และสร้างการเติบโต

จากนั้นพนักงานทุกคนจะถูกโยกย้ายด้วย "เพอร์ฟอร์แมนซ์ เบส" เป็นหลัก

"เพราะเรา (กลุ่มชิน) ต้องการเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์ ออร์แกไนเซชั่น"

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ "บุญคลี" กำลังมองหาพิมพ์เขียวตัวใหม่เพื่อใช้ในการพัฒนาองค์กรต่อไป เพียงแต่เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า การจะปรับองค์กรต่อไปด้วยการปรับโครงสร้าง (ฮาร์ดแวร์) ก็อาจกลับเข้าไปสู่วังวนปัญหา

และที่สำคัญ output ที่บริษัทได้ออกมาจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นเนื้อเป็นหนัง

"เราจึงเริ่มกลับมาแตะที่ตัวซอฟต์แวร์มากขึ้น ทั้งในเรื่องของ "คัลเจอร์" และ "วิธีปฏิบัติ""

ที่ผ่านมาเราสัมผัสได้ว่าองค์กรของเรา...ค่อนข้างจะแข็ง เพราะผมได้ใส่ตัว Hard Stuff เข้าไปมาก จึงกลายเป็นองค์กรในลักษณะว่า "ยูทำดีเราให้คุณไป แต่ถ้ายูทำได้ไม่ดี ยูก็เอาไปแค่นี้"

นั่นคือ เราจะมองเห็น "ขาว" กับ "ดำ" อย่างชัดเจน

แต่อาการที่มันเกิดขึ้นจากตรงนั้นก็คือ พนักทุกคนจะเดินเข้าไปสู่ "โปรเซส ออร์แกไนเซชั่น" ทุกๆวันที่เราทำงานจะถูกกำหนดด้วยกระบวนการอย่างชัดเจน

"คนจึงเป็นเหมือนเครื่องจักร เมื่อเป็นเครื่องจักร...เราก็เริ่มไม่มีชีวิต" บุญคลี ชี้แจง พร้อมอธิบายต่อไปว่า

การใส่เงินไปหลายพันล้านบาทเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ ระบบไอที และซอฟต์แวร์ แม้จะช่วยกำหนดทิศทางการทำงานได้ดี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะค้นพบว่า..."คุณจะเลี้ยวไม่ออก"

"บุญคลี" ยกตัวอย่างเคสว่า "ล่าสุดผมเกิดครีเอทโพรดักท์ใหม่ขึ้นมา...แล้วก็ส่งลงไปข้างล่าง แต่กลับได้รับคำตอบจากทีมงานว่า...ยังทำตอนนี้ไม่ได้ ถ้าจะทำได้ต้องรอ "ไตรมาส 1" ปีหน้า เนื่องจากระบบงานยังมีคิวงานอื่นอยู่"

"เราก็เอารีพอร์ทมาอ่านดู ก็อืมมม...อีกแค่ 3 เดือนเท่านั้นเอง มันก็โอเคนะ ไม่นาน"

แต่ตรงนี้สำคัญ เพราะคนของเราอาจลืมคิดไปนิดนึง ว่าถ้าเขาสามารถทำในสิ่งที่ผมคิดได้ทันที บริษัทก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆอีกเดือนละ 100 ล้านบาท

เพราะถ้าทีมงานสามารถคิดได้ หรือรู้สึกอย่างนั้น "Priority" (การจัดลำดับความสำคัญ) ของงานที่ควรทำ งานชิ้นนี้ก็อาจจะทำได้เสร็จเป็นวันพรุ่งนี้ก็ได้ "ตรงนี้มันก็คือ การขาดจิตวิญญาณ"

เพราะฉะนั้น ระดับหัวหน้างานเมื่อรับงานที่มีคำสั่งลงมา อย่าเพียงแต่อ่านว่าผู้บริหารข้างบนเขาสั่งมาแล้วก็เพียงทำตามคำสั่ง แต่คุณจะต้องมีใจ...หรือจิตวิญญาณ

"ทุกคนควรรู้ว่าหากทำได้ทันทีแล้วเราจะได้อะไร ได้เงินเท่าไร แต่จิตวิญญาณมันหายไป...เพราะมันแข็ง"

"บุญคลี" ยังเปิดเผยเทคนิคส่วนตัวของการเป็นผู้บริหารระดับสูงว่า เมื่อผมต้องบริหารองค์กร การที่เราจะพูดอะไรออกไป ก็จะต้องพูดให้มันดูรุนแรงและต้องให้เวอร์เข้าไว้ ถ้าทำได้อย่างนั้น แล้วมันจะเกิดแรงบันดาลใจ

"บางคนสงสัยว่าทำไมผมต้องทำอย่างนั้น...เพราะองค์กร (กลุ่มชิน) ของเรามันใหญ่ แม้เราจะสร้างแรงบันดาลอย่างเต็มเหนี่ยว แต่เมื่อไปถึงตัวผู้ปฏิบัติมันจะลดเหลือแค่ 50-60% เท่านั้น...นี่เรื่องจริง"

หากเช็คอีกมุม ถ้าเราเป็นหัวหน้าองค์กร แล้วสร้างแรงบันดาลใจแบบ "หน่อมแน้มๆ" พูดแล้วเสียงแทบไม่ออกจากปาก ความคิดหรือสิ่งที่พูดออกไปก็จะกระจายไม่ทั่วทั้งองค์กร

เพราะฉะนั้น ผู้บริหารจึงต้องมี "แอ็คชั่น" ต้องให้แรง และต้องซีเรียส

การทำงานของผู้บริหาร เราต้องซีเรียส อย่าเบา ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ ก็คือการขาดจิตวิญญาณในการทำงาน เพราะหลายองค์กรในวันนี้เลือกวัดผลการทำงานจาก "บาลานซ์ สกอร์การ์ด" พนักงานก็จะคิดไปแนวเดียวว่าเขาเพียงทำให้ถูกต้องตามดัชนีชี้วัด ...ก็แค่ทำงานไป

"อะไรที่เป็นสิ่งใหม่ ที่ออกนอกงานตัวเอง ก็จะพาลถูกตัดทิ้งไปก่อน ...อันนี้คือข้อเสียด้านหนึ่งของระบบบาลานซ์ สกอร์การ์ด"

แต่ "บุญคลี" ยังมองว่า "มันก็มีวิธีแก้...เราต้องทำให้พนักงานเกิดรีเลชั่นชิพ หรือมีความรู้สึกที่ดีกับเรา"

อันนั้น คือเหตุที่เราเริ่มมาทำเรื่อง "คัลเจอร์" (การปลูกฝัง) อย่างพิถีพิถันมากขึ้น

และถือเป็น "จุดเปลี่ยน" ครั้งสำคัญของ "บุญคลี" ที่เริ่มปรับระดับความก้าวร้าวในการบริหารงานลงมา

"ผมครีเอทให้ปีนี้เป็น "กู๊ดเยียร์" สำหรับกลุ่มชิน...เราจะฉลองความสำเร็จในงานปีใหม่ช่วงเดือนมกราคม 2549 ฉลองทั้งกลุ่มด้วยกัน เราจะจัดพร้อมกัน"

เพราะถึงเวลาที่เราจะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้ "รีแลกซ์" มากขึ้น

"ซีอีโอ ชินคอร์ป" อธิบายวิธีการปลูกฝังต่อไปว่า ผู้บริหารของกลุ่มจะต้องเห็นความสำคัญของพนักงานทุกๆระดับ อย่าให้เขามองว่าเราทำไปเพื่อต้องการสร้างให้เขามี "รอยัลตี้" กับองค์กร...เพราะนี่คือเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง "พนักงาน" กับ "ผู้บริหาร"

"ตอนนี้ผมใส่นโยบายลงไปว่า หัวหน้างานทุกคนจะต้องมีเวลา 20% ของงานทั้งหมดในการพูดคุยกับลูกน้อง ในเรื่องราวต่างๆนานา...ที่ไม่ใช่เนื้องาน และสิ่งที่ผมสัมผัสได้ตอนนี้ก็คือ พนักงานของเราเริ่มมีความสุขกับการทำงาน...และรีแลกซ์มากขึ้น"

อย่างไรก็ตาม "บุญคลี" ยอมรับว่า ตัวเขาเองรู้อยู่ลึกๆ ว่า ตัวงานของบริษัทอาจจะ "Success" ลดลงไป หมายความว่า ผลงานในระยะสั้นของเขาจะตกลงไป

"แต่ผมจะยอมปล่อย และหวังว่าในระยะยาวแล้ว เราจะได้ความคุ้มค่าที่มากกว่า"

เขาอธิบายต่อไปว่า "แน่นอนที่เราอาจจะหย่อนๆ งานลงไป แต่ก็พยายามกลั้นใจอยู่บ้าง เพราะกลุ่มชินเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงยังพยายามดันๆไว้บ้าง แต่เมื่อทุกคนมีความสุขมากขึ้น และทุกคนมีความรู้สึกที่ดีกับผู้บริหารยิ่งขึ้น ก็ยังพยายามทำต่อให้จบ แม้จะรู้ว่าบางครั้งมันไม่ได้เรื่องเลยก็ต้องทำ"

ไปเอาเนื้อหามาจากเว็บของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ทำให้รู้ว่าเนื้อความที่ลงในฉบับหนังสือพิมพ์ กับฉบับในอินเทอร์เน็ตยาวไม่เท่ากัน ฉบับหนังสือพิมพ์ จะมีการตัดทอนข้อความบางประโยคออกไป เข้าไปว่าคงใส่ในหน้ากระดาษไม่พอ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบว่า ต่อไปไม่ต้องซื้อ อ่านเอาในเน็ตละกัน ครบถ้วนด้วย
ฮ่า..ฮ่า :D

Tuesday, October 25, 2005

คำสารภาพ 'คนดีจอมปลอม'

พอดีไปอ่านเจอมาในกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉบับวันที่ 21-27 ตุลาคมนี้ เป็นคำให้สัมภาษณ์ของรองประธานกรรมการบริหาร บริษัทริชมอนเด้ ผู้นำเข้าเหล้า Black Label, Red Lable ที่เราๆ ท่านรู้จักกัน เห็นว่าน่าสนใจดี เลยนั่งพิมพ์มาให้ได้อ่านกัน
คำสารภาพ 'คนดีจอมปลอม'
การโฆษณาในเชิงแอลกอฮอล์ภายใต้ข้อจำกัด ทุกแบรนด์น้ำเมา ต่างสร้างภาพเชิงบวกให้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้มีเอกลักษณ์ประจำตัวและง่ายต่อการยอมรับของกลุ่มผู้ดื่มโดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นวัยที่กำลังค้นหาเอกลักษณ์ของตนเอง และเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อโฆษณา และยังเป็นช่วงของการพัฒนามุมมองว่า การกระทำแบบไหนจะได้รับการยอมรับจากสังคมและเพื่อน

ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นคือ กลุ่มผู้รับสื่อวัยรุ่นจะพยายามสร้างบุคลิกภาพหรือทำตามโฆษณา ซึ่งจะถูกชักจูงไปสู่การดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายของเจ้าของแบรนด์น้ำเมาที่บอกว่าวิธีการเช่นนี้ เป็นการสร้างสรรค์สังคม รับผิดชอบต่อสังคม

วาระซ่อนเร้นของแบรนด์น้ำเมา เป็นประเด็นที่ทำกันมานานและน่าติดตามรูปแบบมากขึ้น และเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคที่จะเรียนรู้และพิจารณาววิธีการซ่อนเร้นที่ทำได้อย่างแนบเนียน

“การเห็นยอดขายเพิ่มขึ้น เป็นภารกิจของฝ่ายขายการตลาดทุกบริษัทอยู่แล้ว เมื่อมีข้อจำกัด ก็ต้องหาช่องว่าง ช่องโหว่ เซลล์ต้องเพิ่มยอดขายให้ได้ และวาระซ่อนเร้นจึงเป็นหน้าที่หนักของฝ่ายการตลาด ฝ่ายโฆษณา บริษัทน้ำเมา” วิมลวรรณ อุดมพร รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชมอนเด้ (บางกอก) จำกัด บอกว่า ทุกบริษัทน้ำเมามีเป้าหมายการขายอยู่ที่วัยรุ่น วาระแฝงเร้นของฝ่ายการตลาดบริษัทน้ำเมา ก็จะมุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายนี้

เธอยกตัวอย่างวาระซ่อนเร้นที่ริชมอนเด้เคยใช้วิธีการแฝงเร้นเหมือนบริษัทอื่นๆ เมื่อกรอบห้ามผู้ที่มีอายุ 20 ปี มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ วิธีการซ่อนเร้นที่แนบเนียนและผู้บริโภคหรือผู้คุมกฎเกณฑ์ไม่อาจรู้ได้ นั่นคือ เลือกตามกฎเกณฑ์ คืออายุ 20 ปีขึ้นไป แต่เน้นผู้ที่มีใบหน้าดูเด็กและอ่อนเยาว์เข้าไว้ ประหนึ่งว่าเป็นกลุ่มเดียวกับเยาวชน

ใบปลิว ใบลดราคาในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์สโตร์ เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นเช่นกัน เพราะผู้ชายจะเลือกสินค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม กรณีช่วงเทศกาล Back to School ของศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง สินค้าโปรโมชั่นเต็มไปด้วยสินค้านักเรียนต้อนรับเปิดเทอม เธอบอกว่า มีเหล้าของริชมอนเด้โชว์เด่นอยู่ด้วย

นี่คือวาระซ่อนเร้นอย่างหนึ่งที่เจ้าของแบรนด์หลีกเลี่ยงได้ เพราะเมื่อมีสินค้าเด็กนักเรียน มีสินค้าสำหรับแม่บ้าน ผู้ขายก็ต้องมองว่าจะเอาสินค้าอะไรมาเป็นจุดขายให้พ่อบ้าน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่ล่ะ น่าสนใจที่สุด

“กรณีนี้เป็นหนึ่งในวาระซ่อนที่ผู้บริโภคไม่อาจรู้ แต่ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขายรู้ หรือบางครั้งผู้ขายเป้นคนเลือกที่จะหยิบสินค้าเรามาทำโปรโมชั่น บริษัทต้องรู้ตัวว่ามีวาระซ่อนเร้นแค่ไหน ถ้ามีก็ปล่อยให้ลงไป แต่เราต้องถอนสินค้าของริชมอนเด้ออก”

หรือตัวอย่างเรดเลเบิ้ลที่จับเทรนด์การดื่มจากญี่ปุ่นด้วยการผสมกับชาเขียว ให้เป็นมิกเซอร์แบบแปลกใหม่แทนการผสมน้ำอัดลม หรือโซดาแบบเดิมๆ โดยที่ชาเขียวในบ้านเรากำลังเติบโตท่ามกลางกระแสสุขภาพ

สองสินค้าที่มีคุณสมบัติขัดแย้งกันสุดขั้ว แต่จับคู่ให้มาอยู่ด้วยกัน เธอบอกว่า แคมเปญนี้ดูเหมือนมีวาระซ่อนเร้นที่ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกว่าดื่มเรดเลเบิ้ลผสมชาเขียวแล้วจะทำให้สุขภาพดี กลายเป็นข้อถกเถียงที่นำไปสู่การยุติการขายด้วยเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่เริ่มวางสินค้า จากที่กำหนดเวลาขายไว้ 4 เดือน

“ตอนแรกเรามองแค่เทรนด์การดื่มใหม่ๆ แต่หลายคนมองว่ามีวาระซ่อนเร้น เราก็ต้องเลิก และสูญเสียงบประมาณจากแคมเปญนี้ไปค่อนข้างมาก ทั้งโปรโมทให้กับร้านค้า ซื้อชาเขียวจากโออิชิ เมื่อมีเสียงคัดค้าน เราต้องยอมรับและหยุดทันที”

กรณีสนับสนุนรายการทีวี เกมโชว์ เธอให้สังเกตแผ่นป้ายทั่วรายการ วิธีการพูด เสื้อผ้าพิธีกร แขกรับเชิญ ฉากหน้า ฉากหลัง ทุกอย่างสอดคล้องและเกี่ยวกับธีมบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สนับสนุนทั้งหมด

สังเกตให้ลึกกว่านั้น แหล่งข่าวในวงการนี้บอกอีกว่า บทละครประเภทซิทคอม เกมโชว์ ละคร ที่มักจะเห็นสินค้าแอลกอฮอล์เหล่านี้อยู่เกือบทุกตอน เป็นการจงใจและวางแผนร่วมกัน ตั้งแต่การเขียนบท

“บางตอนของละคร ของเกมโชว์ จะบอกเลยว่า พระเอก นางเอก ต้องอกหัก ร้องไห้ กับขวดเหล้ายี่ห้อนี้ ขวดเบียร์ยี่ห้อนี้ เห็นโลโก้สินค้าแค่ไหน ทุกอย่างจะระบุตั้งแต่การเขียนบท บางตอนมุมดี เห็นแบรนด์ชัดเจนราคาไม่ต่ำกว่าแสนบาท”

วิมลวรรณ บอกว่า ช่องโหว่ของเจ้าของแบรนด์น้ำเมา ในกรณีใช้ชื่อสินค้ามาเป็นชื่อบริษัท วิธีนี้ถ้าทุกบริษัทน้ำเมาใช้วาระแอบแฝงก็จะมากขึ้น เฉพาะริชมอนเด้ ถ้าแตกออกเป็น บริษัท แบล็คเลเบิ้ล จำกัด, บริษัท เรดเลเบิ้ล จำกัด บริษัท โกลเด้นไนท์ จำกัด หรือ บริษัท เบนมอร์ จำกัด แค่นี้ก็จะเห็นการแอบแฝงมากมาย เพราะกฎเกณฑ์ของรัฐอนุญาตให้ใช้ชื่อบริษัทโฆษณาได้

“ริชมอนเด้ใช้เวลากว่า 3 ปี พยายามหยุดการคิดของฝ่ายการตลาด ฝ่ายเซลล์ที่การแฝงวาระซ่อนเร้นทุกๆ จุดที่จะไปถึงผู้บริโภค และ 3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่าการคิดแบบนี้ ทำให้ยอดขายของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดของการโฆษณา”
อืม...แล้วที่ให้สัมภาษณ์แบบนี้ เรียกว่าแฝงวาระซ่อนเร้นหรือเปล่านะ
น่าคิดเนอะ..น่าคิด อิอิ :D

อย่าคิดมาก และมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปเลย แค่มองในแง่ร้ายแบบพอดีๆ ก็พอนะครับ ถ้าเป็นแบบที่ให้สัมภาษณ์จริง ก็ดีมากๆ เลย สนับสนุนๆ ด้วยการไม่ดื่ม ฮ่า..ฮ่า :D

Monday, October 24, 2005

Crazy Day

เมื่อวาน สี่โมงเย็น ... นั่งสตาร์บัคส์ทองหล่อ กินกาแฟ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อวาน ทุ่มครึ่ง ... ออกจากสตาร์บัคส์ ไปหาอะไรกินแถวๆ ทองหล่อ
เมื่อวาน สองทุ่มครึ่ง ... ถึงเมเจอร์ สุขุมวิท จะหาหนังดู แต่ไม่มีเรื่องที่น่าสนใจ
เมื่อวาน สามทุ่ม ... ออกจากเมเจอร์ แบบไร้จุดหมาย
เมื่อวาน เกือบๆ สี่ทุ่ม ... พาตัวเองมา Brick Bar อีกครั้ง
เที่ยงคืน ... กลับบ้าน
เกือบๆ ตีหนึ่ง ... ถึงบ้าน อาบน้ำ สระผม
ตีหนึ่งครึ่ง ... เริ่มเขียนบล็อก
ตีสองครึ่ง ... เข้านอน
ตีห้า ... ยังนอนไม่หลับ
ตีห้าครึ่ง ... ฟังเพลง เขียนบล็อก
หกโมงสิบห้า ... ขับรถไปสวนหลวง ร.๙ ไปวิ่งออกกำลังกายท่ามกลางฝนพรำ
เจ็ดโมงครึ่ง ... กลับถึงบ้าน อาบน้ำ สระผมอีกรอบ
เจ็ดโมงสี่สิบห้า ... เขียนบล็อกอีกรอบ
แปดโมงครึ่ง ... ดูเรื่องเล่าเช้านี้จบ พยายามนอนอีกรอบ
เก้าโมง ... ไม่สำเร็จ นอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาล้างรถ
สิบโมงยี่สิบ ... ยังคงไม่ได้นอนเช่นเคย

ย้อนเวลา โดยจอห์นนี่เกลียดแจ๊ส

ไม่รู้จะมีใครชอบเพลง Turn Back The Clock ของ Johnny Hates Jazz เหมือนผมบ้างหรือเปล่านะ ลองไปหาฟังกันดูนะครับ เพราะดี

Another day is ended
And I still can't sleep
Remembering my yesterdays
I begin to weep
If I could have it over
Live my life again
I wouldn't change a single day

I wish that I could turn back the clock
Bring the wheels of time to stop
Back to the days when life was so much better

Lying here in silence
Picture in my hand
Of a boy I still resemble
But I no longer understand
And as the tears run freely
How I realise they were the best years of my life

I wish that I could turn back the clock
Bring the wheels of time to stop
Back to the days when life was so much better

You might say it's just
A case of giving up
No...
But without these memories where is the love
Where is the love

If I could have it over
Live my life again
I wouldn't change a single day

I wish that I could turn back the clock
Bring the wheels of time to stop
Back to the days when life was so much better

Why can't I turn back the clock
Bring the wheels of time to a stop
Back to the days
Oh no no...
I remember when
Life was so good
I'd go back I'd I could
Oh oh I wouldn't change a single day
Don't let the memories slip away
I wouldn't change a single day
Don't let the memories slip away
ลองไปหาฟังกันดูนะครับ ค้นๆ ในอินเทอร์เน็ตเอาก็ได้ น่าจะมี (มั้ง)

ปล. คนผ่านประสบการณ์ชีวิตมาประมาณนึง น่าจะเคยฟังนะครับ เพลงมันสมัย 80's แน่ะ

โดนเช็คล้ำหน้า

เป็นคุณจะเป็นเช่นไร ถ้า...
คุณเป็นนักฟุตบอล ตำแหน่งกองหน้า ในการแข่งขันฟุตบอลนัดหนึ่ง คุณทุ่มเทให้กับเกมการแข่งขันอย่างมาก เรียกได้ทุ่มเทไปแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่เวลาคุณได้บอลทีไร เมื่อนั้นเป็นจะต้องได้ยินเสียงนกหวีดกรรมการเป่าว่าล้ำหน้าทุกครั้งไป ทำอย่างไรก็ไม่หลุดกับดักล้ำหน้าที่กองหลังฝ่ายตรงข้ามดักไว้สักที

โดนกับดักล้ำหน้าแบบนี้บ่อยๆ เข้า ตัวเองก็พาลจะหงุดหงิด(ตัวเอง) เซ็ง และอาจจะถึงขั้นเบื่อ(ตัวเอง)ไปได้ เพราะว่าเล่นทุ่มเทแต่ไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ มันจะไปมีอะไรดีขึ้น จะไปโทษกองหลังทีมตรงข้ามก็ไม่ได้ เพราะเขาก็ต้องเล่นอย่างรัดกุมที่สุด

แบบนี้คงต้องถอยมาเล่นแบบใจเย็น ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ เล่นไป ดูกองหลังฝ่ายตรงข้ามด้วย จะต้องยืนให้เท่าและสม่ำเสมอกัน จะได้ไม่มีใครล้ำหน้า

เฮ้อ..พูดในทางทฤษฎีน่ะมันง่าย เวลาเล่นจริงมันไม่ง่ายอย่างนี้น่ะซิ เราจะไปรู้ใจอีกฝ่ายได้อย่างไร ว่าจะไปยืนตรงไหน แล้วเราจะต้องไปคอยยืนตามให้เท่ากัน

จบครับ...อย่างน้อยก็ได้บ่น อ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างก็อย่าถือสาเลยนะครับ

Thursday, October 20, 2005

ความรัก | จักรวาล ตอน 2

ขอวกออกจากเรื่องความรักนิดนึง แวะไปหาท่าน Hawking สักหน่อย พอดีนึกออกว่าเคยอ่านเจอ เลยไปนั่งค้นนั่งพิมพ์มาให้
เป้าหมายสูงสุดของวิทยาศาสตร์คือ การสร้างทฤษฎีที่สามารถใช้อธิบายได้ทั้งเอกภพ แต่แนวทางที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ศึกษาค้นคว้า ได้แบ่งโจทย์ออกเป็นสองส่วนคือ หนึ่ง พยายามค้นหากฎที่อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของเอกภาพตามห้วงเวลาต่างๆ (ถ้าหากเราทราบกฎเกณฑ์ที่กำหนดเอกภพในช่วงวลาหนึ่ง เราจะสามารถใช้ทั้งกฎเกณฑ์นั้นทำนายเอกภพในช่วงอื่นๆ ได้) ส่วนที่สอง เป็นความพยายามที่จะไขปริศนาเกี่ยวกับสภาวะแรกเริ่มของเอกภพ บางคนมองว่า วิทยาศาสตร์ให้ความสนใจแต่โจทย์ส่วนแรกเท่านั้น โดยถือว่าคำถามเกี่ยวกับสภาวะแรกเริ่มเป็นเรื่องของอภิปรัชญาหรือศาสนา หลายๆ คนคิดว่าพระเจ้าทรงอำนาจไร้ขอบเขต จะสร้างเอกภพให้ดำเนินไปอย่างไรก็ได้ ตามที่พระองค์ต้องการ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เอกภพก็จะต้องมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ขึ้นอยู่กับประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะต้องการให้เอกภพวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีปกติ โดยขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์บางอย่าง ดังนั้น จึงมีเหตุผลให้คาดหวังได้ว่า ในสภาวะแรกเริ่มก็น่าจะมีกฎเกณฑ์ที่กำหนดควบคุมด้วย
...
...
...
ถ้าหากเชื่อว่าเอกภพมีกฎเกณฑ์เฉพาะเจาะจงที่ควบคุมกำหนดทิศทาง ไม่ได้ดำรงอยู่ตามยถากรรม ในที่สุดแล้วเราจะต้องสามารถรวบรวมทฤษฎีแยกส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน สร้างขึ้นเป็นทฤษฎีเอกภาพ (Unified Theory) ที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถอธิบายทุกสรรพสิ่งในเอกภพได้ แต่ในการค้นหาทฤษฎีเอกภาพนี้ เราพบลักษณะขัดแย้งพื้นฐานที่แปลกประหลาด กล่าวคือ แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และมีอิสระในการสังเกตการณ์เอกภพได้ตามที่ต้องการ และสามารถพิจารณาหาข้อสรุปจากสิ่งที่พบเห็นได้ตามหลักเหตุผล จากแบบแผนเช่นนี้ทำให้คาดหวังได้ว่า เราจะมีความคืบหน้าเข้าใกล้กฎเกณฑ์ที่ควบคุมเอกภพเข้าไปทุกที แต่ถ้าหามีอภิมหาทฤษฎีที่เป็นตัวกำหนดทุกสรรพสิ่งอยู่จริง มันก็จะกำหนดพฤติกรรมการกระทำของมนุษย์ด้วย รวมทั้งกำหนดด้วยว่าเราจะค้นหามันพบหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมมันต้องกำหนดให้เราค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง มันอาจกำหนดให้เราได้ข้อสรุปที่ผิด หรือไม่มีวันพบข้อสรุปก็เป็นได้
เนื้อหานำมาจากหนังสือ A Briefer History of Time ของ Stephen Hawking ฉบับภาษาไทย แปลโดย รอฮีม ปรามาทครับ

ความรัก | จักรวาล

ความรัก | จักรวาล : อ้างอิงหัวข้อเรื่องมาจากบทความของคุณวันดี ซึ่งสามารถเข้าไปอ่านได้โดย คลิกที่นี่

ขอเริ่มต้นด้วยจักรวาล...จักรวาล และจักรวาลก่อนละกัน เห็นวันดีพูดถึงบ่อยๆ และพอดีเพิ่งได้อ่านหนังสือของ Stephen Hawking มาด้วย มีตอนหนึ่งที่น่าสนใจใน A Briefer History of Time ที่ Hawking เขียนไว้ว่า...
ปัจจุบันเราทราบว่าการเกิดขึ้นของอนุภาคทุกชนิดจะต้องมีปฏิกิริยานุภาคเกิดมาคู่กันด้วย ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีคู่ตรงข้ามของโลก (antiworld) และคู่ตรงข้ามของมนุษย์ (antihuman) ที่ถูกสร้างขึ้นจากบรรดาปฏิกิริยานุภาค แต่เมื่ออนุภาคและคู่ปฏิกิริยานุภาคพบกัน มันจะทำลายล้างกันทันที ดังนั้น ถ้าท่านพบคู่ตรงข้ามของตัวท่านเองวันใด โปรดอย่าแตะต้องตัวเขา เพราะท่านและคู่ตรงข้ามจะหายวับไปทันทีท่ามกลางแสงปลาบประกายเจิดจ้า
ที่ยกมาให้อ่านนี้ อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับความรัก แต่บางทีเราอาจจะมองได้ในหลายๆ มุมว่า บางทีเรื่อง "ความรัก" นั้น มันอาจจะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มากกว่าที่เราคาดคิดก็เป็นได้

สำหรับประเด็นเรื่อง "ความรักคืออะไร" ขอยกไปตอบรวบยอดกับประเด็นของสรุจในอีกบทความนึงเลยละกันนะ

Wednesday, October 19, 2005

Love Equation

ได้เคยนั่งคุยกับสรุจ เกี่ยวกับความหมายของคำว่า "รัก" ว่าการที่ใครสักคนหนึ่งมีความรู้สึกรักเกิดขึ้นมา คำว่ารักมันมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือมันเป็นแค่คำที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาแทนความชอบพอในรูปร่างหน้าตา, ความอยากที่จะอยู่ใกล้, ความรู้สึกดีที่มีอะไรคล้ายๆ กัน และอีกร้อยแปดพันประการ ... หรือคำว่ารักมันเป็นความรู้สึกจริงๆ อย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่ไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาอธิบายได้ ไม่ใช่ความชอบ ไม่ใช่ความอยาก ไม่ใช่ความรู้สึกดี แต่มันคือรัก

หลังจากที่ได้ลองนั่งขีดๆ เขียนๆ มาสักพัก จึงได้เกิด "สมการแห่งความรัก (Love Equation)" ขึ้นมาแบบที่แถวบ้านเรียกว่ามั่ว ฮ่า..ฮ่า :-)

Love = Relationship
ความรักเกิดจากความสัมพันธ์ของคนสองคน

Relationship = Expectation
เมื่อความสัมพันธ์ของคนสองคนแนบแน่นมากขึ้น ความคาดหวังย่อมเกิดมากขึ้นเป็นธรรมดา

Expectation = Honesty
เมื่อความคาดหวังมากขึ้น ย่อมต้องการความจริงใจระหว่างคนสองคนมากขึ้นด้วยเช่นกัน

Honesty = Endeavor
ความจริงใจนั้น ต้องอาศัยความมานะบากบั่นในการสร้างมันขึ้นมา

Endeavor = Desire
ความมานะบากปั่นที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องเกิดจากที่คนคนนั้นอยากที่จะทำ

Desire = Liking
ความอยาก เกิดมาจากความชอบพอ

Liking = Instinct (not Reasonableness)
ความชอบพอในสิ่งต่างๆ เกิดมาจากสัญชาตญาณ ไม่ใช่การคิดอย่างมีเหตุผล

สรุปว่า รักก็คือรัก เป็นความรู้สึกของจิตใจเราเอง ที่ไม่สามารถหาคำมาอธิบายเป็นคำพูดได้ อิอิ สรุปเอาดื้อๆ ยังงี้แหล่ะ :-P

Tuesday, October 18, 2005

แก้ฟอนต์ให้ FireFox แล้วครับ

มีหลายคนที่ใช้ FireFox ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกว่าจิ้งจอกไฟละกันนะครับ มาบ่นๆ กับผมว่าเวลาใช้เจ้าจิ้งจอกไฟดูบล็อกผมแล้ว ฟอนต์หรือตัวหนังสือในบล็อกตัวมันจะเล็กมาก แถมบิดเบี้ยวๆ ช่างอ่านยากเสียนี่กระไร

ความจริงที่ไม่เปลี่ยนไปใช้ฟอนต์มาตรฐาน เพราะว่าชอบฟอนต์ Thebuchet ทั้งที่เป็นตัวหนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษมากครับ ซึ่งเวลาดูด้วย IE มันจะไม่มีปัญหา และจะให้เปลี่ยนไปใช้ฟอนต์มาตรฐานก็ไม่ชอบอีก ที่สำคัญคนใช้เจ้าจิ้งจอกไฟเข้ามาดูบล็อกผม เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมันน้อยมาก (ความจริงเครื่องผมก็มีนะ จิ้งจอกไฟเนี่ย อิอิ) ก็เลยขี้เกียจไปยุ่งอะไรกับมัน

หลังจากที่ซื่อบื้อมานาน วันนี้ก็เพิ่งมานึกออกได้ว่า เราก็ทำให้ IE ดูด้วยฟอนต์ Trebuchet เหมือนเดิม ส่วนเวลาที่ใครใช้จิ้งจอกไฟเข้ามาดู ก็ให้ดูด้วยฟอนต์มาตรฐานภาษาไทยซะก็สิ้นเรื่อง ง่าย..ง่าย แค่นี้เอง ทำไมโง่มานานก็ไม่รู้ แบบนี้เวลาดูด้วย IE ฟอนต์ก็ยังสวยถูกใจผมเหมือนเดิม ส่วนเวลาดูด้วยจิ้งจอกไฟก็ยังอ่านง่ายสบายตา

ขี้เลื่อยบังตาเสียนี่กระไร ... :-)

Think Different Collection

เป็นแคมเปญโฆษณาชุดหนึ่งที่ผมชอบเอามากๆ เลย สำหรับ Think Different จาก Apple ชุดนี้ โดยเฉพาะ Print Ads สวยจับจิตจับใจ ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ภาพคนดังหนึ่งภาพ กับโลโก้ของ Apple และคำที่ว่า Think Different



ไม่รู้ว่าพอจะเดากันออกบ้างไหมครับ ว่าในรูปใครเป็นใครบ้าง ความจริงในคอลเลคชั่นนี้ ยังมีภาพของอีกหลายๆ คนเลย ไว้ว่างๆ จะเอามาลงไว้ให้ดูกันนะครับ

เอาเป็นว่า ใครเดาทั้ง 9 ภาพนี้ถูกก่อนเป็นคนแรก มีของรางวัลให้จริงๆ ด้วยนะเออ ... :-)

Monday, October 17, 2005

สนามบ้านคุณ คุณเป็นเจ้าของแน่หรือ?

บทความชิ้นนี้ จะขอทำตัวเป็นครูไหว (ในเรื่องโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้) เพื่อวิพากษ์วิจารณ์แบบสร้างสรรค์สักหน่อย รับได้หรือไม่ได้ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร แสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ

เรื่องนี้เริ่มต้นที่...
มีเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง ได้เปิดสนามหน้าบ้านของตัวเอง ให้คนอื่นๆ ได้เข้ามาวิ่งเล่น และทำกิจกรรมด้วยกัน แต่ก็มีกฎระเบียบตามที่เจ้าของบ้านตั้งไว้ตามเห็นสมควร

จากหนึ่งคนเป็นสองคน จากสองคนก็เป็นสิบ จากสิบก็เป็นร้อย จากร้อยก็เป็นพัน คนมาวิ่งเล่นที่สนามในบ้านแห่งนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยเพราะเป็นที่แห่งมิตรภาพ ความอบอุ่น มีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ มาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้เยอะแยะ และแต่ละคนก็มีอัธยาศัยที่ดีๆ ทั้งนั้น ผมเองยังชวนเพื่อนๆ น้องๆ ที่รู้จักมาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้หลายคน

เมื่อคนเริ่มเยอะ เจ้าของบ้านก็ขยายบ้านออกไปเรื่อยๆ มีส่วนสอนทำอาหาร มีส่วนรับเลี้ยงเด็ก แต่สนามที่ผมวิ่งเล่น ก็ยังเหมือนเดิม พวกผมยังคงวิ่งเล่นอย่างสบายใจ

จนมาวันหนึ่ง เจ้าของบ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ อย่าง ผมอาจจะวิ่งเล่นมากไป เกะกะไปโดนคนอื่นบ้าง แต่ผมก็ไม่ใช่อันธพาลที่มาก่อกวนสนามแห่งนี้ เพียงแต่เจ้าของบ้านอาจจะมองต่างกันไป แทนที่จะดุว่ากล่าวตักเตือนแบบดีๆ ดันตวาดมากลางสนามซะอย่างงั้น

หลังจากวันนั้นมา ผมก็คิดได้ว่า สนามในบ้านแห่งนี้ คงไม่เหมาะสมอีกต่อไป

ก่อนที่จะเข้าประเด็นของผม ผมอยากให้ทุกคนลองอ่านบทความชิ้นนี้ก่อน
สิ่งที่มนุษย์สร้าง ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นัก
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2548

ลาพักร้อนไปสองเดือนเต็มเลยครับ

เคยเป็นอย่างผมไหมครับ ที่อยู่ดีๆ หัวมันก็ตื้อๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น จะขีดจะเขียนหรือจะคุยอะไรกับใครก็ให้ฝืดมือฝืดปากไปหมด เลยขออนุญาตท่านบรรณาธิการหยุดพักสักเดือนหนึ่ง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็แถมไปอีกเดือนจนได้

ช่วงที่หยุดเขียนไปนั้น ก็ให้พอดีกับเป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของหนังสือพิมพ์มติชน หรือถ้าจะพูดให้ถูกที่สุดก็ต้องบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการหนังสือพิมพ์เลยก็ได้ และแฟนๆ คอลัมน์หลายคนก็ชอบถามผมว่าผมคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่ได้ข่าวนะครับ เรื่องบริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด(มหาชน) พยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) และก็น่าจะได้อ่านความคิดเห็นของผู้คนทั่วทุกวงการแล้วว่าคิดอย่างไร คอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพูดถึงประเด็นนี้ตลอดทั้งอาทิตย์ รายการโทรทัศน์เชิงข่าวก็เกาะติดเรื่องนี้อย่างไม่ปล่อย

ถึงวันนี้แล้ว ปมขัดแย้งดูเหมือนจะคลี่คลายไปหลายเปาะ แม้หลายคนจะแสดงความกังวลอะไรบางอย่างอยู่บ้าง

ช่วงนั้น ถึงจะไม่ได้เขียนคอลัมน์ แต่จดหมายหลายฉบับก็เขียนไปถามความเห็นผมว่า ผมคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

ผมมองเรื่องนี้อยู่สามมุมครับ เพราะส่วนที่ผมเกี่ยวข้องอยู่กับมติชนนั้นมีอยู่สามมุม

มุมแรก ผมมองมติชนเป็นสื่อที่อิสระ มุมนี้เป็นมุมสำคัญที่สุด และเป็นมุมที่นักวิชาการและนักสื่อสารมวลชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะสำหรับสังคมประชาธิปไตยแล้ว สื่อที่มีความเสรีทางความคิดก็ไม่ต่างอะไรกับเสาหลักที่คอยค้ำระบอบอยู่

เราต้องยอมรับว่าลำพังแค่กลไกในสภา บางครั้งก็ไม่อาจทำอะไรผู้ปกครองที่ถือเสียงข้างมากอยู่ในมือและบริหารราชการผิดพลาดได้

ในทางกลับกัน หากผู้ปกครองคิดแบบคนมองโลกในแง่ดี การมีสื่ออิสระย่อมทำให้เกิดกระจกเงาสะท้อนภาพที่เป็นจริงของบ้านเมืองมากกว่า การสะท้อนจากสื่อที่ถูกครอบงำ

นิทานปรัมปราเรื่องหนึ่งเล่าว่า พระราชาองค์หนึ่งไปได้ฉลองพระองค์วิเศษมาชุดหนึ่ง โดยถูกหลอกว่าฉลองพระองค์นี้คนที่จงรักต่อพระองค์และประเทศชาติเท่านั้นจึงจะมองเห็น คนที่คิดประทุษร้ายต่อบ้านเมืองจะมองไม่เห็น ทั้งๆ ที่พระองค์เองก็มองไม่เห็นชุด แต่ก็ต้องทำเป็นมองเห็นแล้วทำท่าสวมฉลองพระองค์ชุดนั้นเสด็จออกประพาสบ้านเมือง ข้าราชบริพารและประชาชนที่เกรงกลัวความผิดต่างก็ถวายพระพร และสดุดีชุดที่พระองค์สวมใส่อยู่ว่าสวยอย่างนู้นอย่างนี้ตลอดทาง

จนมาถึงมุมถนนแห่งหนึ่ง มีเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งชี้มาทางพระองค์แล้วตะโกนว่า พระราชาโป๊ๆ ด้วยประโยคสั้นๆ นี้เองพระองค์จึงคิดได้

หนังสือพิมพ์มติชนก็ไม่ผิดอะไรกับเด็กคนนั้นหรอกครับ

ในมุมนี้แม้ทางฝ่ายแกรมมี่จะยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แทรกแซงการบริหารหนังสือ และการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลเลย แต่พี่ไพบูลย์ก็ต้องยอมรับว่าของพรรค์นี้มันยืนยันด้วยปากไม่ได้

มุมที่สอง หากมองอย่างมุมนักธุรกิจ โดยมองว่าทั้งมติชนและแกรมมี่ล้วนเป็นองค์กรทางธุรกิจ อะไรก็ตามที่มีการกำไรมีการขาดทุนก็ต้องเรียกว่ามันเป็นธุรกิจทั้งนั้นแหละครับ ถ้าให้มองมุมของค้าของขายก็ต้องให้ความเห็นว่า การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งเข้ามาถือหุ้นใหญ่หรือเทกโอเวอร์ในอีกบริษัทหนึ่งก็ต้องถือว่าไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติตรงไหน นักการเงินหลายคนที่ผมรู้จักพูดห้วนๆ เลยว่า หุ้นในตลาดมีไว้ซื้อขาย การซื้อหุ้นแม้จะเยอะแค่ไหนก็ตาม หากถูกต้องตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่เห็นสมควรจะต้องถูกตำหนิตรงไหน

คนที่ปากร้ายหน่อยอาจพูดถึงขนาดว่า เอาบริษัทมาเข้าตลาดแล้วไยต้องกลัวการถูกซื้อ

ในมุมที่สองนี้ แม้นักธุรกิจหลายคนจะเห็นว่าก็ไม่มีอะไรในกอไผ่เลย นอกจากบริษัทสองบริษัทกำลังซื้อกำลังขายกัน ถึงต่อให้ลืมประโยคที่ว่า "การเข้าซื้อกิจการอย่างไม่เป็นมิตร" แต่ก็เชื่อผมเถิดว่าในมุมมองที่สองนี้ก็คงไม่มีใครกล้าออกมาพูดต่อที่สาธารณะ เพราะถ้ามองอย่างประชาชนที่ใฝ่หาสื่ออันเสรี มุมที่สองนี้ค่อนข้างที่จะเป็นมุมของความเห็นแก่ตัวเกินไป

เรื่องค้าขาย เรื่องเงินทอง แม้จะเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวันของคนเมืองก็จริง แต่มันก็พร้อมเป็นของแสลงได้ทันทีเหมือนกัน จริงไหมครับ

ในมุมที่สาม

ตัวผมเองเกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์มติชนในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคมมติชน เพราะผมนั้นเป็นทั้งคนเขียนและคนอ่าน ยิ่งในมุมของคนอ่านผมก็ดันเป็นคนอ่านประเภทติดหนึบกับงานในเครือของมติชน ไม่ว่ามติชนรายวัน รายสัปดาห์ รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรมที่อ่านมาแต่ครั้งรุ่นกระทง จะเรียกว่าเติบโตมากับงานของพี่ช้างขรรค์ชัยและพี่สุจิตต์ก็คงไม่ผิด

ผมไม่ได้มองมติชนเป็นบริษัท ผมมองมติชนเป็นสถาบัน

และก็เป็นสถาบันที่มีนักคิดนักเขียนเดินเข้าเดินออกกันอย่างขวักไขว่คึกคัก ที่น่าสนใจก็คือ ความคิดเห็นหลายเรื่องในมติชนและศิลปวัฒนธรรมก็ค้านกันเองอย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งทำให้ผมมองเห็นภาพความอิสระในความคิดชัดเจนมาตลอดในสถาบันนี้

และผมก็เชื่อว่า ผู้คนมากมายที่พร้อมใจกันออกมาให้กำลังใจมติชน และแสดงทีท่าคัดค้านการตัดสินใจของพี่ไพบูลย์ก็ล้วนมองเห็นมติชนในมุมของสถาบัน มากกว่ามองเห็นเป็นบริษัทมติชน จำกัด(มหาชน)

หลายคนออกหน้ามาเชียร์มติชน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับพี่ช้างขรรค์ชัยเลย

และบางคนที่เชียร์มติชนสารภาพกับผมเลยว่า เขาซื้อเทปแกรมมี่มากกว่าหนังสือในเครือมติชนเสียอีก

สิ่งที่มนุษย์สร้าง ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นัก ผมขึ้นหัวเรื่องไว้อย่างนั้นเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

มิลอส ฟอร์แมน ผู้กำกับฯหนังเรื่องอามาดิอุส หนังอัตชีวประวัติของโมสาร์ทที่คว้าออสการ์ถึง 8 ตัว ให้สัมภาษณ์น่ารักเหลือเกินว่า เขารู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความยิ่งใหญ่ครั้งนี้

ทั้งๆ ที่สร้างเองแท้ๆ เขายังใช้แค่คำว่าเป็นส่วนหนึ่ง

เอาใกล้ๆ ตัวผมนี่ดีกว่าอธิบายความรู้สึกได้สะดวกดี วงเฉลียงที่ผมทำมากับมือ วงดนตรีที่แม้จะมีแฟนเพลงแค่หยิบมือ แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นของผม หรือของคนใดคนหนึ่ง ทุกวันนี้แม้จะไม่ได้มีงานเพลงออกมาแล้ว แต่ความที่มันเป็นสถาบันที่เราสร้างมันขึ้นมาแล้ว และมีผู้คนกลุ่มหนึ่งรักและศรัทธามัน ผมก็มีหน้าที่เพียงดูแลมันให้ไม่ผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม แค่นั้น

และผมก็ยังรู้สึกเกรงใจเสมอที่จะทำอะไรกับมัน เพราะมันยิ่งใหญ่กว่าเรามากนัก

เดอะบีตเทิลส์ วงดนตรีสี่ชิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเป็นตัวอย่างในเรื่องความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุดกับคนหมู่มาก ต่อให้พอล แม็กคาร์ตนีย์ ผู้ก่อตั้งวงมาพร้อมกับจอห์น เลนนอน ผู้ล่วงลับอยากจะทำอะไรกับเดอะบีตเทิลส์ก็ตาม ผมว่าเขาก็ต้องเกรงใจคนทั้งโลก เพราะเดอะบีตเทิลส์เป็นสถาบันที่มีเจ้าของร่วมมากมายเป็นสิบๆ ล้านคน

มติชนก็เหมือนกันในความรู้สึกผม

แม้พี่ช้างจะเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่มากคนหนึ่ง แต่ "มติชน" ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก

หากลองมองกลับอีกมุมหนึ่งบ้างว่า แกรมมี่ ก็เป็นสถาบันที่พี่ไพบูลย์และพี่เต๋อเรวัติ สร้างมันขึ้นมา และแน่นอนในความรู้สึกของผม แกรมมี่ก็ต้องยิ่งใหญ่กว่าพี่ไพบูลย์

หรือใครจะเถียงผมว่าค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศไม่ยิ่งใหญ่

บางทีสมาชิกของสถาบันแกรมมี่เองไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วน ผู้ร่วมงาน คนฟังเพลง ฯลฯ ก็อาจไม่พอใจนักก็ได้ในเรื่องที่พี่ไพบูลย์ตัดสินใจเมื่อเดือนก่อน

ผมว่าผมได้ยินมาอย่างนั้นนะ
ผมกำลังมองว่า ณ บ้านแห่งนี้ เจ้าของยังมีอำนาจและสิทธิขาดเหมือนเดิม รวมถึงห้องสอนทำอาหาร และห้องรับเลี้ยงเด็กด้วย เพียงแต่ในส่วนของสนามหน้าบ้าน ผมกำลังมองไปถึงขั้นที่ว่า เจ้าของบ้านเป็นแค่เพียงผู้ก่อสร้างเท่านั้น แต่สมาชิกที่มาวิ่งเล่นในสนามแห่งนี้ต่างหาก ที่เป็นเจ้าของสนามที่แท้จริง

จริงอยู่ที่ว่า ถ้าไม่มีเจ้าของบ้าน ก็จะไม่มีสนามแห่งนี้ แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีคนมาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้ สนามที่นี่ ก็จะไม่อบอุ่น ไม่มีมิตรภาพ และอาจจะไม่มีคนเข้ามาวิ่งเล่นมากขนาดนี้

ถ้าไม่มีห้องสอนทำอาหาร ห้องรับเลี้ยงเด็ก ผมก็คงไม่ติดใจอะไรขนาดนี้ สนามหน้าบ้านคุณ คุณเปิดให้ผมมาวิ่งเล่น ก็น่าจะใจกว้างมากพอแล้ว แต่ผมมองไปถึงขั้นที่ว่า เพราะผมและเพื่อนๆ ผม รวมถึงทุกๆ คนที่มาวิ่งเล่นที่นี่ เป็นส่วนที่ทำให้ห้องสอนทำอาหาร ห้องรับเลี้ยงเด็กเกิดขึ้นได้ แบบนี้คุณจะมองทุกคนที่มาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้ว่าเป็นแค่ผู้มาวิ่งเล่นเท่านั้นเองหรือ?

ครูไหวลายมือหวัด

อาทิตย์ที่แล้ว เป็นอาทิตย์ที่ผมมีเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง เข้ามาในชีวิตแบบงงๆ ขำๆ ซึ่งหลังจากที่ได้คุยกับคนหลายๆ คนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ตัวผมเองก็ตัดสินใจได้ว่า การออกจากสภาพแวดล้อมแบบนั้นไป คงจะเป็นการดีที่สุด

และด้วยความบังเอิญ คอลัมน์คุยกับประภาส ในมติชนฉบับวันอาทิตย์ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ มีเรื่องที่ผมคิดว่า น่าจะใช้เตือนตัวเองได้เป็นอย่างดี เลยขอคัดลอกเอามาไว้ให้ได้อ่านกัน
ครูไหวลายมือหวัด
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์

เรียนคุณประภาส

ดิฉันทำงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่าย ในแผนกมีผู้ช่วยสามคน หัวหน้าชอบมานินทาผู้ช่วยอีกสองคนให้ดิฉันฟังบ่อยที่สุด คือชอบพูดตำหนิผู้ช่วยอีกสองคนให้ฟังอยู่เรื่อยๆ

รู้สึกว่าหัวหน้าทำตัวไม่น่านับถือ คอยแต่มองเห็นข้อเสียของคนอื่น ข้อเสียของตัวเองกลับมองไม่เห็น เวลาทำงานดิฉันคิดว่าหัวหน้าใช้เวลาให้องค์กรไม่เท่าไหร่ แต่ใช้เวลากับการนินทาคนอื่นมากกว่า หลายครั้งดิฉันนึกขำ ที่หัวหน้ามาสอนให้ดิฉันหัดวางตัวให้เป็นผู้ใหญ่ เช่นไม่ควรเอาเรื่องของเพื่อนร่วมงานมาพูดให้อีกคนหนึ่งฟัง แล้วก็ตำหนิผู้ช่วยอีกคนว่าชอบพูดเรื่องคนอื่น ระหว่างที่พูดหัวหน้าคงลืมว่าตัวเองก็กำลังพูดถึงคนอื่น

เจอหัวหน้าอย่างนี้ ดิฉันควรทำตัวยังไงดีคะ เพื่อนๆ ชอบยุให้ดิฉันผสมโรงไปด้วยเลย

Gift Box

"เข้มงวดต่อผู้อื่น แต่ละเลยตัวเอง คือโรคประจำตัวของผู้คนส่วนใหญ่"

ประโยคข้างต้นนี้ กว่อไท้ นักเขียนชาวจีนเคยกล่าวไว้

ถ้าให้เทียบภาษิตไทยแบบชาวบ้านๆ ก็น่าจะตรงกับประโยคนี้ที่สุด "ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเราเหลือทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร" ผมเห็นครั้งแรกตอนเพิ่งอ่านหนังสือออกใหม่ๆ เขียนติดไว้หลังรถบรรทุก

มีเรื่องที่ไม่น่าสงสัยเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยมาตลอด ไม่รู้มีใครเป็นอย่างผมบ้าง

เวลาคนเราดูหนังดูละคร ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องเข้าข้างพระเอกนางเอกทุกคน ยิ่งตอนผู้ร้ายจะมาทำอะไรพระเอกเราก็มักจะเอาใจช่วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเงียบๆ หรือทำร้ายเอาซึ่งๆ หน้า คนดูบางคนถึงกับออกอาการเชียร์ส่งเสียงออกมาเลย นักแสดงบทร้ายๆ หลายคนในโทรทัศน์ถึงกับถูกเกลียดชังจากแม่ค้าในชีวิตจริง

ในหนังในละครพระเอกนางเอกมักเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ ทำแต่สิ่งที่ถูกที่ควรตามครรลองคลองธรรม ส่วนผู้ร้ายนางอิจฉาก็จะเห็นแก่ตัวกันไปต่างๆ นานา

แล้วผมสงสัยอะไรหรือครับ ท่านผู้อ่านบางท่านก็คงเริ่มสงสัยผม

ผมสงสัยว่าในเมื่อคนเราทุกคนชื่นชอบสิ่งที่พระเอกนางเอกทำ และชิงชังความเห็นแก่ตัวที่ผู้ร้ายแสดงออกมา แต่ทำไมสังคมเรายังมีคนเห็นแก่ตัวอยู่ หนักกว่านั้นผู้ร้ายก็มีอยู่มากมายจนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานกันอย่างหนัก

ตรงนี้น่าสนใจนะครับ เพราะแม้แต่ในคุก นักโทษที่ต้องโทษด้วยคดีปล้นจี้ หรือเอาให้ร้ายแรงถึงคดีฆ่าคนตายก็เถอะ ถึงตอนเวลาดูละครโทรทัศน์ที่เขาฉายให้ดูในคุกนี่ พวกเขาก็เชียร์พระเอกนะครับ พวกผู้ร้ายหรือนางอิจฉานี่ถูกนักโทษด่าเอาเสียๆ หายๆ ทั้งนั้น ผมเคยถามพัศดีมาแล้ว

หรือเพราะคนเราชอบที่จะมองเห็นความผิดของคนอื่น โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็ทำอยู่

คนที่บวชเป็นพระสงฆ์ ซึ่งต้องเรียกได้ว่าผ่านการฝึกพิจารณาตัวตนค่อนข้างมากก็ยังพลาดมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง ดังที่เราเคยเห็นบ่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์

มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่ตีหน้าผากเราให้หัวแล่นได้ดีเหลือเกินกับกรณีนี้

ในนิกายเซน มีการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า การเข้าสมาธิเงียบ วิธีการนั้นแสนง่าย นั่นคือให้นักบวชที่จะฝึกมานั่งในห้องเดียวกันแล้วก็ตั้งใจกันว่าจะไม่พูดอะไรเลยจนกว่าจะออกจากห้อง ต่อให้ข้ามวันข้ามคืนก็จะปิดปากสงัดอยู่อย่างนั้น

นิทานเรื่องนี้เริ่มเล่าว่า มีพระ 4 รูปกำลังจะนั่งสมาธิเงียบกัน

ทั้งสี่รูปมีเพียงรูปเดียวที่เป็นพระบวชใหม่ ส่วนอีก 3 รูปล้วนเป็นพระแก่พรรษา เมื่อเป็นดังนั้น พระบวชใหม่ที่อายุน้อยที่สุดจึงได้รับหน้าที่ให้ดูแลตะเกียงที่จุดไว้ในห้องทำสมาธิ

พระทั้งสี่รูปนั่งขัดสมาธิล้อมวงรอบตะเกียงดวงนั้น แม้จะมีลมพัดผ่านเป็นพักๆ แต่ความเงียบก็ปกคลุมห้องนั้นนานแสนนาน

ไม่มีเสียงใครเอ่ยออกมาเลย ทุกรูปเคร่งครัดในการทำสมาธิอย่างมาก

ค่อนคืนผ่านไป น้ำมันในตะเกียงเริ่มเหลือน้อยลง พระบวชใหม่คอยหรี่ตาดูอยู่ตลอดว่า น้ำมันตะเกียงจะมีพอเพียงจนถึงเช้าหรือไม่

ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะเดินไปเอาน้ำมันตะเกียงมาเติมใหม่ดีไหม ก็มีลมพัดกรรโชกเข้ามาจนทำให้เปลวไฟหรี่ลงจนเกือบดับ พระบวชใหม่เห็นเข้าก็ร้อนใจ แต่ไม่รู้จะทำฉันใดเพราะหากพูดอะไรออกไปก็เหมือนตัวเองทำผิดในห้องทำสมาธิ

แล้วลมก็พัดในห้องอีก เปลวไฟสั่นไหวไปตามแรงลม

จิตของพระบวชใหม่กลับไหวกว่า

"แย่แล้ว ตะเกียงจะดับแล้ว" พระบวชใหม่อุทานเสียงหลง

เสียงนั้นทำลายความเงียบไปทันที พระอีกรูปหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้พระบวชใหม่ลืมตาขึ้น แล้วก็เอ่ยปากตำหนิพระน้องใหม่

"ท่านไม่รู้หรือว่าเรากำลังทำสมาธิเงียบอยู่ ท่านส่งเสียงอย่างนี้หลุดสมาธิหมด" พระอาวุโสที่นั่งข้างพระบวชใหม่พูดขึ้นทั้งที่ตายังหลับ

พระบวชใหม่ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร พระอาวุโสที่เพิ่งตำหนิพระบวชใหม่ไป ก็ลืมตาขึ้นแล้วก็เริ่มตำหนิต่อทำนองว่าถ้าจิตยังไม่นิ่งพอที่จะเข้ามาในห้องนี้ก็ไม่ควรเข้ามา ตำหนิไปยังไม่ครบประโยคดี พระอาวุโสที่นั่งถัดไปอีกที่หนึ่งก็ส่งเสียงขึ้น

"ท่านเองก็ส่งเสียงเอะอะอยู่" น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจ "มัวแต่ว่าคนอื่น ตัวก็ทำเสียเอง แย่จริงๆ"

ถึงตอนนี้พระทั้งสามรูปต่างก็ถกเถียงกันเพื่อบอกเล่าเหตุผลที่ตัวเองต้องส่งเสียงออกมา พระบวชใหม่อ้างว่าตัวเองกลัวตะเกียงจะดับซึ่งจะทำให้สิงสาราสัตว์แถวนั้นเข้ามาในห้องได้ถ้าในห้องไม่มีแสงสว่าง พระรูปที่สองก็อ้างว่าที่เอ่ยปากพูดออกมาก็เพราะต้องการตักเตือนพระบวชใหม่ให้รู้จักระเบียบของการทำสมาธิเงียบ ส่วนพระรูปที่สามก็อ้างว่าหากไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา พระรูปที่สองก็คงไม่รู้ตัวและก็คงส่งเสียงต่อไปอีกนาน

ระหว่างที่ถกเถียงกันอยู่นั้น พระรูปที่สี่ที่เป็นพระอาวุโสที่สุดกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

ครั้นเวลาผ่านไป พระทั้ง 3 รูปที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นคนผิดที่ส่งเสียงในห้องทำสมาธิก็เริ่มเงียบเสียงลงด้วยความเหนื่อยหน่ายใจของทุกรูป หลังจากนั้นไม่นานพระทั้ง 3 รูปก็หลับตาลงเพื่อทำสมาธิต่อ ความสงัดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในห้องอีกครั้ง

และตอนนี้นี่เอง พระรูปที่สี่จึงค่อยๆ ลืมตาแล้วก็เอ่ยปากขึ้น

"มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ไม่เอ่ยปากพูดเลยในห้องทำสมาธิ" พระผู้อาวุโสกล่าวด้วยความภูมิใจ

นิทานเซนเรื่องนี้ก็จบลงดื้อๆ อย่างนี้

พระทั้งสี่รูปใครผิดบ้างผมคงไม่ต้องสาธยายเพิ่ม เพราะหากมาอธิบายเหตุผลว่าอะไรเป็นอะไรก็ย่อมไม่ใช่วิถีเซน

ผมขึ้นชื่อเรื่องว่า ครูไหวลายมือหวัด เพราะผมเคยชอบชื่อหนังสืออยู่เรื่องหนึ่งที่เคยโด่งดังมากเมื่อราวเกือบยี่สิบปีก่อน เรื่องครูไหวใจร้าย คงเคยได้ยินกันนะครับได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกคุณจินตหรานางเอกในดวงใจของผมนี่แหละเป็นผู้แสดงเป็นครูไหว ในใบปิดโฆษณานี่คุณจินตหราเกล้าผมมวยใส่แว่นเสียจนดูเจ้าระเบียบไปเลย

วันนี้ขออนุญาตยืมครูไหวมาจบบทความนี้สักหน่อย เป็นฉากสั้นๆ เองครับ นึกถึงหน้าคุณจินตหราเกล้าผมมวยไว้ก็ได้ครับ จะได้สนุกขึ้น

เด็กชายสุธีนักเรียนหัวขี้เลื่อยของครูไหว กำลังเดินตัวลีบถือสมุดการบ้านเข้ามาหาครูไหว หน้าเด็กชายสุธีหากนึกไม่ออกก็นึกถึงหน้าของผมก็แล้วกัน

"มีอะไรหรือนายสุธี" ครูไหวส่งเสียงขึ้นก่อนที่เด็กชายสุธีจะเดินมาถึงโต๊ะด้วยซ้ำ

"มีอะไรจะถามครูหน่อยครับ" เด็กชายสุธีพูดเสียงสั่น

ครูไหวขยับแว่น "เธอนี่หัวทึบจริงๆ ไม่เข้าใจการบ้านอีกละสิ"

เด็กชายสุธีกางสมุดการบ้านลงบนโต๊ะครูไหว "ตรงนี้ครับครู"

"อะไรหรือ" ครูไหวขยับแว่นมองลงที่สมุด

เด็กชายสุธีชี้ไปตรงตัวหนังสือที่เขียนด้วยปากกาสีแดงใต้การบ้านที่เขาทำมา ครูไหวจำได้ว่าเป็นลายมือตัวเอง

"ผมอ่านไม่ออกครับ ไม่รู้ครูเขียนว่าอย่างไร" สุธีก้มหน้า

"อะไรกันจ้ะแค่นี้ก็อ่านไม่ออก" ครูไหวเลิกแว่นขึ้นอีก "ครูเขียนว่าทีหลังอย่าเขียนลายมือหวัดนัก มันอ่านไม่ออก"

บางทีเราทุกคนก็อาจลืมไปได้ว่าตัวเองก็ทำตัวเป็นครูไหวลายมือหวัดอยู่ คุณ Gift Box ก็เหมือนกันนะครับ ลองนึกดูดีๆ ยิ่งประโยคที่คุณบอกว่า "เพื่อนๆ ชอบยุให้ดิฉันผสมโรงไปด้วยเลย" นั่นแสดงว่าคุณก็คงเอาเรื่องของหัวหน้าคุณไปตำหนิให้คนอื่นฟังอยู่บ่อยๆ เช่นกัน
หวังว่าคงจะเป็นข้อเตือนใจของผมและหลายๆ คนได้เป็นอย่างดีนะครับ :)

Tuesday, October 11, 2005

ข่าวดีของคอกาแฟ

พอดีอ่านเจอใน Health & Cuisine ฉบับเดือนตุลาคมนี้เอง มีข่าวเกี่ยวกับการดื่มกาแฟ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับได้ ลองอ่านดูนะครับ
การดื่มกาแฟไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว เมื่อนักวิจัยจากบัณฑิตวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยโตโฮกุ ประเทศญี่ปุ่น พบว่า ถ้าคุณดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับได้ดีกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟหรือดื่มน้อยกว่า 1 ถ้วยต่อวัน ผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำนาน 7-9 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่าผู้ดื่มกาแฟเป็นครั้งคราว 29 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เคยดื่มกาแฟเลย คอกาแฟจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าถึง 42 เปอร์เซ็นต์

ดร.ทาอิชิ ชิมาซุ หัวหน้าคณะวิจัย ยอมรับว่า ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าทำไมผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำ จึงลดความเสี่ยงโรคมะเร็งในตับ แต่อาจเป็นเพราะกรดโคลโรเจนิก (สารประกอบในกาแฟ) แสดงผลต่อต้านมะเร็งในสัตว์ทดลองได้เป็นอย่างดี
ยินดีด้วยกับคอกาแฟ ที่เป็นพวกเดียวกับผม แต่ว่าก็อย่าดื่มมากจนเกินไป เอาให้พอดีๆ ละกัน เฮ้อ..ช่วงนี้สตาร์บัคส์ขึ้นราคามาแล้วด้วยดิ เซ็ง!!

สมรภูมิแจ๊สกลางกรุง

กำลังตามข่าวงาน Bangkok Jazz Festival ที่จะจัดปลายปีนี้อยู่ ว่าจะมีใครมาเล่นบ้าง ก็พอดีว่าไปเจอข่าวใหญ่ยักษ์ข่าวนี้มาพอดี ทำให้ผมเพิ่งทราบว่า ปีนี้จะไม่ได้มีงานแจ๊สดีๆ ใหญ่ๆ เพียงแค่งานเดียว

แต่...ทำไมทั้งสองงานต้องมาจัดพร้อมกัน??

ลองติดตามอ่านข่าว สมรภูมิแจ๊สกลางกรุง ได้ทางด้านล่าง ผมคัดลอกมาจากกรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์จุดประกาย ฉบับวันนี้ครับ
การเกิดขึ้นของเทศกาลดนตรีแจ๊สถึง 2 งานภายในวันและเวลาเดียวกัน ช่วงสิ้นปีนี้ กำลังเป็นประเด็นพูดคุยในระดับ 'ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์' และอาจขยายตัวเป็นระดับ 'ทอล์ค ออฟ เดอะ เวิลด์'

เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะเห็นธุรกิจบันเทิงจำต้องขับเคลื่อนเหตุการณ์ให้ประสานงากัน ด้วยสุดวิสัยจะเลี่ยงได้ ... อนันต์ ลือประดิษฐ์ รายงาน

ในแวดวงดนตรี การประกวดประชันแข่งขันความเป็นเลิศของวงดนตรีนั้นเกิดขึ้นมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นการประกวดวงดนตรีไทยเดิมที่วัดพระพิเรนทร์ ซึ่งมีการดวลเพลงกันอย่างดุเดือด จากวันหนึ่งข้ามไปอีกวันหนึ่ง หรือในสหรัฐอเมริกา ยุคสมัยของสวิงแจ๊ส (Swing Era 1930-1945) มีการประชันวงบิ๊กแบนด์ ที่เรียกกันว่า Band Battle ซึ่งสร้างความเร้าใจให้แก่คนหนุ่มสาวยุคนั้นไม่น้อย

แม้จะเรียกว่าเป็น 'สมรภูมิทางดนตรี' แต่การประกวดประชันแข่งขันวงดนตรีย่อมมีเป้าหมายที่ดีและงดงามในตัวเอง ในแง่เพื่อบรรลุถึงศักยภาพอันเป็นเลิศของนักดนตรี และเพื่อความสุดยอดในการเสพสุนทรียรสของผู้ฟังไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังเป็นการสร้างวัฒนธรรมทางดนตรีที่ควรชื่นชมอีกด้วย

ทว่า นอกเหนือจาก 'สมรภูมิทางดนตรี' ที่ว่าแล้ว เหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุด ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครช่วงปลายปีนี้ อาจนับเป็นครั้งแรกของโลกที่ควรบันทึกไว้ใน 'กินเนสส์ บุ๊ค' ก็ว่าได้ เมื่อเกิด เทศกาลดนตรีแจ๊ส (Jazz Festival) ขึ้น 2 เทศกาลในเวลาเดียวกัน

ผู้สันทัดกรณีหลายรายเชื่อว่า นั่นจะกลายเป็นมูลเหตุของการประชันแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ นั่นย่อมหมายถึงความปราชัยทางธุรกิจ และมีผลกระทบต่อแผนงานในระยะยาวอย่างแน่นอน

เหตุการณ์ 'ช้าง' ชน 'ช้าง'
ความจริงที่ผู้คนวงในรับรู้กันเต็มอกเวลานี้ คือการชิงชัยของ 2 เทศกาลดนตรีแจ๊ส ระยะเวลา 3 วัน ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันศุกร์ - อาทิตย์ที่ 16-18 ธันวาคม ศกนี้ ซึ่งผลลัพธ์ในท้ายที่สุดยังเป็นเรื่องสุดจะคาดคะเนได้ แต่ที่แน่ๆ งานนี้น่าจะมีโอกาสเจ็บตัวทั้ง 2 ฝ่าย

งานหนึ่งคือผู้จัดเดิม เทศกาลดนตรีแจ๊สกรุงเทพ หรือ Bangkok Jazz Festival 2005 จัดโดย เทอร์มินัล เอ๊กซ์ตร้า ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 และอีกงานคือผู้จัดใหม่ ในนาม Bangkok Jazz Celebration 2005 (ขออนุญาตแปลชื่องานเป็นไทยว่า งานฉลองแจ๊สกรุงเทพ) จัดโดย สกาย เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งแม้จะเพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ทีมงานหลักเคยผ่านประสบการณ์ทำงานในเทศกาลแรกมาแล้ว

ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจ หากเทศกาลดนตรีแจ๊สทั้ง 2 แห่งนี้ จะมีรูปแบบการนำเสนอที่ 'คล้ายคลึงกัน' อยู่มาก ตั้งแต่ระยะเวลาการจัดงาน 3 วัน (ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์) แต่ละวันจะมีโปรแกรมการแสดง 4 รายการ โดยใช้วิธีสลับการบรรเลงระหว่าง 2 เวทีใหญ่ และด้วยการเลือกสรรศิลปินแจ๊สระดับแนวหน้า หรือ 'เฮดไลเนอร์' ที่อยู่ในกลุ่ม ป๊อป-แจ๊ส ฟิวชั่น เป็นหลัก

นอกเหนือจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะอุดหนุนงบประมาณให้แก่โปรโมเตอร์ทั้ง 2 รายแล้ว ความพ้องกันโดยบังเอิญยังอยู่ตรงการมีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ คือ 'เครื่องดื่มเบียร์' ในสายตาของนักสังเกตการณ์ด้านการตลาด งานนี้จึงถือเป็นสมรภูมิที่น่าจับตา เพราะเป็นเสมือนการชนกันระหว่างเบียร์ 2 ยี่ห้อหลักดีๆ นี่เอง นั่นคือ สีเขียว และ สีทอง

ปริศนาเรื่องวันแสดง
ประเด็นที่ทุกๆ คนในวงการต่างตั้งคำถามเดียวกันโดยมิได้นัดหมายคือ เหตุใดจึงต้องมาเลือกจัดงานในวันเดียวกัน? เพราะถึงที่สุดแล้ว ย่อมไม่ได้สร้างผลดีให้แก่ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากฐานของคนฟังดนตรีแจ๊สแม้จะเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน แต่ก็มีปริมาณที่แน่ชัดจำนวนหนึ่ง

จากสถิติของผู้เข้าชมเทศกาลดนตรีแจ๊สในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้ชมจำนวนใกล้เรือนหมื่นต่อวัน แต่เมื่อตัดแขกรับเชิญของผู้จัดงานและแขกของสปอนเซอร์ออกไป ยอดขายบัตรจริงๆ อาจจะอยู่ที่ราว 5-6 พันคน ดังนั้น เมื่อมีการจัดงานขึ้นเป็น 2 งาน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้เปรียบต่อกันทั้งในด้านรายชื่อศิลปินและทำเลของสถานที่จัดงาน นั่นเท่ากับว่าจำนวนผู้เข้าชมต้องลดลงไปถึงครึ่งหนึ่งโดยธรรมชาติ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วนิดา วรรณศิริกุล ผู้บริหารของ เทอร์มินัล เอ๊กซ์ตร้า ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์เดิมของงานเทศกาลดนตรีแจ๊ส ยืนยันว่า ได้เริ่มเตรียมงานตามวงจรปกติ ตั้งแต่ติดต่อขอใช้สถานที่ ณ ลานสนามเสือป่า ในเดือนเมษายน และต่อมาเดือนมิถุนายน ได้เซ็นต์สัญญากับศิลปินแจ๊สทุกรายและจ่ายเงินตามข้อตกลงไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวันแสดงที่กำหนดไว้ได้
"ในฐานะโปรโมเตอร์ เทศกาลแจ๊ส คงไม่ได้ทำงานโดยคนเพียงไม่กี่คน ที่ผ่านมา อาจจะมีบางคนที่ขอแยกตัวออกไป แต่จากประสบการณ์ที่เราอยู่ในธุรกิจนี้มากว่า 20 ปี ขอต้องยืนยันว่า เราทำงานของเราต่อไปได้ตามปกติ ดังนั้น ในเรื่องของวันที่กำหนดออกมาตรงกัน เราไม่ได้รับรู้อะไรมากไปกว่าเราทำงานของเรา และไม่ได้รับการบอกกล่าวอะไรจากผู้ประกอบการรายอื่น"

วนิดา เสริมว่าในฐานะผู้จัดงานเก่า อย่างน้อยเธอมีความได้เปรียบในเรื่องการขายตั๋วให้กรุ๊ปทัวร์ต่างชาติเริ่มหันมาให้ความสนใจ โดยตอนนี้มีทัวร์จากญี่ปุ่นจองมา 200 ใบแล้ว และในอนาคต คาดว่าจะได้ทัวร์จากเกาหลี, ศรีลังกา, ฟิลิปปินส์ และประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะที่ ประเสริฐ ธีระมโน ผู้บริหารของ สกาย เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเดิมเป็นอดีตผู้ดูแลงานด้านโปรดักชั่นของ Bangkok Jazz Festival และปัจจุบันได้เปลี่ยนมากุมบังเหียนทิศทางของงาน Bangkok Jazz Celebration อธิบายถึงที่มาของการกำหนดวันแสดงที่บังเอิญมาตรงกันว่า เป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวเหมาะสมที่สุด ตลอดเดือนธันวาคม มีช่วงวันหยุดยาว ทั้งต้นและปลายเดือน ดังนั้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ กลางเดือน นั่นเอง
"ผมตัดสินใจออกจากงานทางฝั่งโปรโมเตอร์เก่าด้วยดี เพราะเรามีทัศนคติและแนวทางในการทำงานแตกต่างกัน โดยพื้นฐานผมต้องการปรุงรสชาติแจ๊สอย่างที่เป็นแจ๊สจริงๆ ไม่ใช่แจ๊สอย่างที่สปอนเซอร์ต้องการ สมมติ ผมเป็นพ่อครัวมีเงินมาให้ 100 บาท แต่ต้องแบ่ง 90 บาทไปปรุงรสชาติอาหารเพื่อเอาใจสปอนเซอร์ และอีก 10 บาทไปให้คนกลุ่มหลัก ผมคงไม่แฮปปี้ที่จะทำแบบนั้น ดังนั้น หลังจากงานเมื่อปีกลายจบลงได้เพียง 1 สัปดาห์ ผมก็ได้เริ่มต้นทำงานนี้มาโดยตลอด และได้กำหนดวันเวลาของการจัดงานตั้งแต่เริ่มทำงานแล้ว"

ประเสริฐ ลงความเห็นว่าถึงที่สุด แม้จะมีผู้จัดงาน 2 งาน แต่ผู้ชมจะตัดสินใจเองว่า ต้องการชมแบบไหน ระหว่างไปชมวงดนตรีที่มีความหลากหลาย คละเคล้ากันหลายๆ แนว กับวงดนตรีที่มีรสชาติแบบเดิมๆ อีกทั้งยังมีการนำนักดนตรีวงหนึ่งมาแตกออกเป็นวงย่อยหลายๆ วง และอย่างน้อยๆ เขาเชื่อว่าการจัดงานแสดงดนตรีแจ๊สในประเทศไทย ก็ควรเปิดโอกาสให้นักดนตรีแจ๊สไทยได้แสดงด้วย
"ผมใช้ชื่องานว่า Jazz Celebration ดังนั้น ในวันแรก เราจะเปิดตัวอย่างภาคภูมิใจ ด้วยการแสดงของนักดนตรีไทย เด่น อยู่ประเสริฐ เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า ไทยเราก็มีศิลปินแจ๊สมาตรฐานทัดเทียมสากล ไม่ใช่มีเพียงวงดนตรีนำเข้าเท่านั้น"

การช่วงชิงสถานที่
แม้จะเป็นฝ่ายเตรียมตัวก่อน แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน Bangkok Jazz Celebration กลับต้องเสียเปรียบด้านสถานที่ให้แก่ Bangkok Jazz Festival ในท้ายที่สุด เมื่อ วนิดา ออกโรงประกาศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนว่า ขณะนี้ เธอได้รับอนุญาตให้ใช้ ลานสนามเสือป่า ในเขตพระราชฐาน เป็นสถานที่จัดงานอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่ขั้นตอนในการขออนุญาตค้างเติ่งเป็นเวลานานหลายเดือน

สนามเสือป่า คือพื้นที่จัดงานเดิมอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี ซึ่งคอเพลงแจ๊สทั้งหลายต่างคุ้นเคยและชื่นชอบทั้งในด้านบรรยากาศ และความสะดวกในการเดินทาง นั่นพลอยทำให้ทางเลือกในการจัดงานของ Bangkok Jazz Celebration ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 3 แห่งต้องลดเหลือเพียง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย พื้นที่ว่างในอาณาบริเวณของโรงงานยาสูบ ใกล้ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ พื้นที่ว่างในบริเวณสวนลุมไนท์บาซาร์ ขณะที่พื้นที่ว่างใกล้ทะเลสาบ เมืองทองธานี ต้องตัดออกไปเพราะปัญหาด้านระยะทาง

อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีบางคนวิเคราะห์ว่า พื้นที่ว่างทั้ง 2 ตัวเลือก อาจจะทำให้พลิกจาก 'วิกฤติ' เป็น 'โอกาส' ได้เช่นกัน เพราะทั้ง 2 จุด ผู้ชมสามารถเดินทางได้สะดวก โดยเฉพาะการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนอันทันสมัย โดยเฉพาะ รถไฟฟ้าใต้ดิน

ทางแพร่งชี้วัดรสนิยมคอแจ๊สไทย
ผู้สันทันกรณีรายแรกวิเคราะห์ว่า การเกิดขึ้นของงานเทศกาลแจ๊ส 2 งานภายในเวลาเดียวกัน จะเป็นจุดชี้ชัดว่า คนไทยพร้อมจะเปิดรับกับดนตรีแจ๊สรูปแบบใดมากกว่ากัน แม้ Bangkok Jazz Festival จะมีศิลปินแจ๊สที่มีชื่อเสียงมากกว่า แต่เขาคิดว่าจากรายชื่อของศิลปินที่จะแสดงใน Bangkok Jazz Celebration กลับมีความหลากหลายมากกว่า

ดังจะเห็นได้จากการนำศิลปินอังกฤษรุ่นใหม่ที่กระเดียดไปทางลาตินบีท อย่าง อเล็กซ์ วิลสัน มาแสดง หรือวงของ ไดแอนน์ เชอร์ นักร้องนัยน์ตาพิการ ซึ่งเคยมากับวงบิ๊กแบนด์ของ เคานท์ เบซี แต่ในปีนี้เปลี่ยนมาทัวร์กับวง แคริบเบียน แจ๊ส โปรเจ็คท์ เป็นต้น

ขณะที่ผู้สันทัดกรณีรายที่ 2 เห็นแตกต่างออกไป โดยวิเคราะห์ว่า แม้ โฟร์เพลย์ ของ Bangkok Jazz Festival จะแตก (split) ออกเป็นการบรรเลงของสมาชิกคนอื่นๆ ในวงอีก 3 โชว์ ประกอบด้วย ลาร์รี คาร์ลตัน, บ๊อบ เจมส์ และ ฮาร์วีย์ เมสัน แต่ต้องพิจารณาอย่างเป็นธรรมว่า โฟร์เพลย์ เป็นวงซูเปอร์กรุ๊ป ดังนั้น สมาชิกในวงที่มีความสามารถต่างก็มีโครงการเดี่ยว (solo project) ของตนเองทั้งนั้น

ขณะเดียวกัน Bangkok Jazz Festival ยังมีวงดนตรีจากยุโรปมาอีก 3 วง แถมในด้านลาติน มีมือกีตาร์ โตนินโญ ฮอร์ตา ปรมาจารย์กีตาร์จากบราซิล ซึ่ง แพท เมธินี เชิดชูเป็นครูมาแสดงด้วย

ในความเห็นของผู้สันทัดกรณีรายที่ 2 ระบุว่า ความน่าสนใจของ Bangkok Jazz Celebration อยู่ตรงศิลปินแจ๊สคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่รู้จักนัก แต่เชื่อว่าน่าจะมีฝีมือ (ตามมาตรฐานศิลปินแจ๊ส) ที่ทำให้หลายๆ คน ซึ่งเบื่อหน่ายความซ้ำซากของ 'ป๊อป-แจ๊ส ฟิวชั่น' หันมาติดตาม เช่น คาร์เมน แบรดฟอร์ด และ ทู ฟอร์ บราซิล "ยกเว้นแต่เพียงว่า คอแจ๊สเหล่านี้เคยฟังและชมการแสดงของศิลปินกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด จากการแสดงที่โรงแรมระดับห้าดาวบางแห่งในกรุงเทพไปแล้ว"

อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีรายที่ 3 วิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า 2 รายแรก ตรงที่ระบุว่า เอาเข้าจริงๆ ศิลปินที่เป็น ไลน์-อัพ ของโปรโมเตอร์ทั้ง 2 ราย ยังอิงอยู่กับ 'ป๊อป-แจ๊ส ฟิวชั่น' หรือ 'สมู้ธ แจ๊ส' เป็นสำคัญ ดังนั้น จึงชี้วัดไม่ได้ว่าผู้ชมกลุ่มใดเป็นตัวบ่งชี้รสนิยมแจ๊สประเภทไหน พร้อมเสริมว่า "แต่ช่องทางในการโปรโมทจะมีอิทธิพลสำคัญ ในการเข้าถึงผู้ชมหรือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ ได้ข่าวว่าเริ่มมีการใช้อิทธิพลไม่ให้สื่อวิทยุบางแห่งเล่นเพลงของศิลปินอีกฝ่ายแล้ว"

ผู้สันทัดกรณีรายเดิม ตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีโปรโมเตอร์รายใดสนใจนำเข้าศิลปินแจ๊สที่กำลังอยู่ในความสนใจของแวดวงแจ๊สปัจจุบัน ซึ่งอ้างอิงได้จากการติดอันดับของ Critic's Poll และ Reader's Poll ของนิตยสารดนตรีแจ๊สชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ทุกวันนี้โลกเล็กลงเพราะอินเตอร์เน็ท การรับรู้ข่าวสารของคอแจ๊สไทยกลุ่มหนึ่งไปไกลถึงขั้นนั้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทั้ง วนิดา และประเสริฐ ต่างมีความเห็นตรงกันว่า การจัดเทศกาลแจ๊ส 2 งานให้มาชนกันในวันเวลาเดียวกันนั้น ย่อมส่งผลกระทบให้แต่ละฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือบทเรียนที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเรียนรู้และจดจำไปจนถึงการจัดงานครั้งหน้า.

รายชื่อศิลปิน
Bangkok Jazz Festival
- Veronica Mortensen
- Harvey Mason Trio
- Toninho Horta
- Incognito
- Eldissa
- Masato Honda
- Bob James
- Larry Carlton
- Neils HP
- Earl Klugh
- Asianergy
- Fourplay

Bangkok Jazz Celebration
- Tower of Power
- Dian Schuur fea.Caribbean Jazz
- Jeff Golub
- Two for Brazil
- The Rippington
- Carmen Bradford
- Alex Wilson
- URB
- Sinseke
- TKY
ถ้ามีความคืบหน้าหรือรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม จะรีบเอามาแจ้งให้ทราบกันโดยเร็วครับ แต่ในใจผมตอนนี้ Bangkok Jazz Festival ยังเป็นต่ออยู่ครับ

Monday, October 10, 2005

วันดี...เพื่อนซี้

หลายๆ คน น่าจะรู้จักเจ้าวันดี สาวเก่งตัวน้อย ประเภทตัวเล็กเสียงดัง (ในเว็บ) กันดีแล้ว วันดีก็คือวันดี ที่ในอดีตเคยเป็นลาบแซ่บมาก่อน รวมถึงเป็นแฟนผมด้วย

แม้หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง (ที่จะไม่ขอพูดถึง เพราะเป็นความผิดของผมเอง ฮ่า..ฮ่า ใครจะอยากประจานตัวเองเนอะ) จะทำให้เราทั้งคู่ไม่สามารถสืบสานความสัมพันธ์ในฐานะแฟนต่อไปได้ ... แต่ใครจะรู้ว่า อีกไม่กี่เดือนให้หลัง เราสองคนกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิม และน่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนซี้หรือเพื่อนสนิทได้ด้วย (ไม่ใช่เพื่อนสนิทแบบในหนังเพื่อนสนิทนะ งง..ไหม อิอิ)

ความจริงพระเจ้าอาจจะส่งเรามาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรกแล้วก็ได้เนอะ...วันดี

Friday, October 07, 2005

อย่ามาเฮงซวยกับเพื่อนผม

ผมอาจจะไม่ใช่คนดีมากนัก แต่ผมก็รักเพื่อนผมคนนี้มาก แม้ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใครนะ แต่อย่ามาทำงี่เง่า เฮงซวยกับเพื่อนผมคนนี้ละกัน

ชอบก็ชอบ ... ก็ทำตัวดีๆ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ก็เป็นเพื่อนกันซะ อย่ามาทำให้เพื่อนผมต้องเหนื่อยใจ

Wednesday, October 05, 2005

แรงบันดาลใจจาก...ไอน์สไตน์

วันนี้จะมาขอแนะนำหนังสือน่าอ่านอีกเล่ม ที่ชื่อว่า Einstein : My Inspiration หรือในชื่อภาษาไทย แรงบันดาลใจจาก...ไอน์สไตน์

ท่านใดที่เป็นแฟนไอน์สไตน์อยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้คงไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้าท่านใดที่ไม่ใช่แฟนไอน์สไตน์ หนังสือเล่มนี้ก็เหมาะอย่างยิ่ง ที่จะเริ่มทำความรู้จักกับเขา แนะนำครับ..แนะนำ ลองซื้อมาหาอ่านดู แล้วจะรู้จักไอน์สไตน์มากขึ้น

หนังสือเล่มนี้ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน ปีนี้เองครับ ราคาปก 120 บาท ไม่แพงเลยกับการมีไว้ในครอบครองครับ

สำหรับรายละเอียดของหนังสือเล่มนี้ ทางสำนักพิมพ์มติชนได้เขียนในเว็บไซต์ของตัวเองไว้ว่า...

หลากเรื่องราวของไอน์สไตน์ ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของคนนับล้าน รวมบทความจากนักคิดนักเขียนชื่อดัง อาทิ วินทร์ เลียววาริณ, ดร.สุทัศน์ ยกส้าน, บินหลา สันกาลาคีรี, ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ ฯลฯ อ่านความเห็น... พบความประทับใจ และศึกษาว่าแรงบันดาลใจจากไอน์สไตน์ส่งผลต่อความคิดและทัศนคติของคนนับล้านได้อย่างไร
นักเขียนในหนังสือเล่มนี้ มีมากมายหลากหลายท่าน ดังนี้ครับ
  • วินทร์ เลียววาริณ
  • บัวไร
  • ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
  • ดร.พิเชษฐ กิจธารา
  • สีมา สมานมิตร
  • กิตติกร มีทรัพย์
  • เจ้ากรมเป๋อ จาก ต่วย'ตูน
  • นิ้วกลม
  • บินหลา สันกาลาคีรี
  • ว. วชิรเมธี
  • 'ปราย พันแสง
  • ส. สีมา จาก มติชนสุดสัปดาห์
  • มุกหอม วงษ์เทศ
  • ภูวดี ตู้จินดา
  • นันทขว้าง สิรสุนทร
  • คมเลนส์
  • อนุช อาภาภิรม
  • ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์
  • นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
  • นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
  • หมอพาย

Tuesday, October 04, 2005

ความเครียด...ไม่ใช่สาเหตุใหญ่ของโรคกระเพาะ

ต้องขอบคุณคุณหมอสองท่าน คือ คุณหมอ Barry J. Marshall และคุณหมอ Robin Warren ที่ได้ค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ว่าสาเหตุหลักของโรคกระเพาะนั้น ไม่ได้มาจากความเครียด แต่มาจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า Helicobacter pylori จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปีนี้ ยังไงลองอ่านรายละเอียดข่าวด้านล่างดูนะครับ
STOCKHOLM, Sweden (AP) -- Australians Barry J. Marshall and Robin Warren have won the 2005 Nobel Prize in physiology or medicine for showing that bacterial infection, not stress, was to blame for painful ulcers in the stomach and intestine.

The 1982 discovery transformed peptic ulcer disease from a chronic, frequently disabling condition to one that can be cured by a short regiment of antibiotics and other medicines, the Nobel Prize committee said.

Thanks to their work, it has now been established that the bacterium Helicobacter pylori is the most common cause of ulcers.

"This was very much against prevailing knowledge and dogma because it was thought that peptic ulcer disease was the result of stress and lifestyle," Staffan Normark, a member of the Nobel Assembly at the Karolinska institute, said at a news conference announcing the winners.

Many other diseases including Crohn's disease, ulcerative colitis, rheumatoid arthritis and atherosclerosis happen because of chronic inflammation, the assembly said in its citation, adding that the Australians' discovery stimulated the search for microbes as possible reasons for other inflammations.

Warren, 68, a pathologist from Perth, Australia, "observed small curved bacteria colonizing the lower part of the stomach in about 50 percent of patients from which biopsies had been taken," the Nobel Assembly said. "He made the crucial observation that signs of inflammation were always present ... close to where the bacteria were seen."

Marshall, 54, became interested in Warren's findings and together they initiated a study of biopsies from 100 patients.

"After several attempts, Marshall succeeded in cultivating a hitherto unknown bacterial species -- later denoted Helicobacter pylori -- from several of these biopsies," the assembly said. "Together they found that the organism was present in almost all patients with gastric inflammation, duodenal ulcer or gastric ulcer."

Based on these results, they proposed that Helicobacter pylori is involved in causing these diseases. By culturing the bacterium, they were able to make studying it and the illnesses easier.

"In 1982, when this bacterium was discovered by Marshall and Warren, stress and lifestyle were considered the major causes of peptic ulcer disease." the assembly said in its citation. "It is now firmly established that Helicobacter pylori causes more than 90 percent of duodenal ulcers and up to 80 percent of gastric ulcers."

Marshall is a researcher at the University of Western Australia in Nedlands. The Nobel assembly listed Warren's last professional position as a pathologist at Royal Perth Hospital.
แต่เอ..เขาค้นพบมาตั้งนาน ยี่สิบกว่าปีแล้ว ทำไมผมยังคิดมาตลอดเลยว่าโรคกระเพาะมาจากความเครียดอย่างเดียว หรือว่าผมไม่รู้อยู่คนเดียวเนี่ย..???

Monday, October 03, 2005

เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่กันบ้างไหม?

ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร มีหลายสิ่งหลายอย่างมาทำให้รู้สึกว่า เอ๊ะ..นี่ตัวเราเองแก่แล้วหรือเปล่าเนี่ย มีหลายความรู้สึกเป็นอาการที่น่าจะเรียกได้ว่า ตามโลกยุคนี้ไม่ทันแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าตกยุคนั่นเอง และอีกหลายความรู้สึกก็เป็นอาการที่เรียกว่าขวนขวายหาความสุขในอดีต (Nostalgia) ยกตัวอย่างเช่น..
  • ตามความไฮเทคทั้งหลายไม่ค่อยจะทันแล้ว เจอเว็บไซต์แปลกๆ ใหม่ๆ ก็จะงงว่ามันใช้ยังไงวะเนี่ย หาปุ่มอะไรตรงไหนวะ จนขี้เกียจใช้มันแล้ว ปิดไปในที่สุด

  • ขวนขวายหาสิ่งในอดีตมาเสพ เช่น อยากหาเพลงเก่าๆ โดยเฉพาะยุค 80's มาฟัง

  • การปฏิบัติตัวในหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง อยากได้ปริมาณน้อยลง แต่เน้นคุณภาพและสุนทรียภาพมากขึ้น เช่น การกิน การดื่ม การเที่ยว

  • คาดหวังการบริการหรือการเทคแคร์จากคนอื่นในสิ่งที่ที่มันควรจะเป็น ถ้าไม่ได้จะเริ่มหงุดหงิดเล็กๆ

  • การเลือกซื้อสิ่งของ จะเน้นแฟชั่นและฟังค์ชั่นน้อยลง แต่ใช้อารมณ์ของตัวเองมาตัดสินมากขึ้น
นี่คืออาการส่วนหนึ่งที่พอจะนึกออก ไม่รู้ว่าเป็นอาการของคนแก่ หรือว่าเป็นบุคลิกของคนแก่กันแน่ เอ๊ะ..หรือว่าเป็นอาการปกติ ที่คนอื่นๆ ก็เป็นกันหว่า

นักกีฬา & ทีมกีฬา ในดวงใจ

อยากเขียนถึงนักกีฬา หรือทีมกีฬาที่ตัวเองชอบ เผื่อท่านใดมาอ่านเจอเข้า อาจจะเป็นแฟนๆ ของนักกีฬาหรือทีมกีฬาทีมเดียวกัน จะได้มาช่วยกันลุ้นเวลาแข่งครับ

Foolball : Liverpool
ถ้าให้เลือกทีมสโมสรได้ทีมเดียว ไม่ต้องคิดเลยว่าจะเป็นทีมไหนไปได้ นอกจากหงส์แดง ...ตกหลุมรักทีมนี้ ตั้งแต่สมัยยังรุ่งโรจน์ ช่วงปีเตอร์ เบียดสลีย์, จอห์น บาร์นส์ ช่วงปีไหนอย่าไปจำเลย เดี๋ยวหาว่าแก่

Football (National) : Brazil
ถ้าเรื่องฟุตบอลทีมชาติแล้วล่ะก็ คงเหมือนหลายๆ คนที่ตกหลุมมนต์เสน่ห์แห่งเพลงแข้งแซมบ้า ไม่ว่าจะยุคไหนๆ บราซิลก็ยังคือบราซิล

NFL : Denver Broncos
กีฬาอีกชนิดที่ชอบดูมากๆ ... มีทีมม้าป่าเข้าไปนั่งอยู่ในดวงใจของผม แต่หลังๆ ก็แอบปันใจไปให้ทีมนักรบกู้ชาติแล้ว :)

NBA : Los Angeles Lakers
ชอบน่ะ ทีมนี้ ไม่รู้จะพูดว่ายังไงเนอะ ชอบมาตั้งแต่สมัยเมจิค จอห์นสันกับคารีม อับดุล จับบา แล้ว แต่หลังๆ ได้ดูน้อยลงครับ

Tennis : Boris Becker
หนุ่มเยอรมันผู้มีสไตล์การเล่นแบบเสิร์ฟแล้วบุกนี้ ดูกี่ทีๆ ก็ไม่มีเบื่อเลย แต่ว่าก็มีแอบปันใจให้กับพีท แซมพราสนะ อิอิ

Golf : Greg Norman
เจ้าฉลามขาวแห่งวงการกอล์ฟ ลีลาการเล่นของเขายังติดตาผมอยู่เสมอ แต่ถ้าเอาตอนปัจจุบันนี้ก็เจ้าเสือน้อยครับ

Rugby : New Zealand All Blacks
ทีมชุดดำนี้ ขวัญใจผมตั้งแต่เด็กๆ แล้ว สุดยอดจริงๆ แต่หลังๆ จะมีโอกาสได้ดูรักบี้น้อยเต็มที แต่ทีมชุดดำนี้ ยังคงอยู่ในหัวใจเสมอ

F1 : Ayrton Senna
เสียดาย ที่ไอตั้น เซนนา อยู่กับวงการรถแข่งสั้นไป ไม่อย่างนั้น เราอาจจะได้เห็นลีลาการขับสุดมันมากกว่านี้

ตอนนี้นึกประเภทกีฬาออกแค่นี้ครับ ไว้ถ้านึกอะไรออกเพิ่มเติม จะมาใส่เข้าไปเพิ่มละกันครับ

Sunday, October 02, 2005

Who is designer?

สำหรับผมแล้ว คำว่า designer หรือนักออกแบบ ไม่น่าจะเรียกกันได้ง่ายๆ เพราะว่าเป็นคำที่กว้างมาก คนที่สามารถเรียกตัวเองว่านักออกแบบได้ (หรือถูกคนอื่นเรียกก็ตามที) น่าจะมีประสบการณ์การทำงานในงานออกแบบด้านต่างๆ มาพอสมควร ซึ่งในใจผมตอนนี้ คนที่น่าจะเรียกว่านักออกแบบได้ มีเขาเพียงคนเดียว

เขาคนนี้คือ...


Philip Starck

หนุ่มอิตาเลียน เจ้าของนามกรว่า Starck ท่านนี้ มีผลงานการออกแบบหลากหลายมากมาย ไล่ตั้งแต่สิ่งของชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงตึกและอาคารต่างๆ ... ที่สำคัญก็คือ ผลงานการออกแบบของ Starck ในทุกๆ ด้าน ได้รับการยอมรับในแวดวงนั้นๆ เสมอมา

สำหรับผลงานของ Starck ทั้งหมด ผมคงไม่สามารถเขียนไว้ในบล็อกนี้ได้ เพราะมันเยอะมาก เอาเป็นว่า ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ของเขาเองเลยดีกว่าครับ ที่ http://www.philippe-starck.com

สำหรับรูปด้านซ้ายนี้ เป็นผลงานชิ้นแรกของ Starck ที่ผมรู้จัก ตอนแรกผมก็ยังไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ใครเป็นคนออกแบบ ... แบบว่าตอนเห็นครั้งแรกนี่รู้สึกว่ามันคือยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวแน่ๆ เลย ฮ่า..ฮ่า

เอาเป็นว่าผมยังไม่บอกดีกว่า ว่ามันคืออะไร อยากให้ลองเดาๆ กันดู อยากรู้จะดูออกกันไหมว่ามันคืออะไร? ...ไว้เดี๋ยวค่อยเข้ามาเฉลยทีหลังนะครับ :)

Saturday, October 01, 2005

ค่ำคืนแห่งความสุข

เมื่อวานนี้ เป็นวันแห่งการพบปะสังสรรค์ในหมู่เพื่อนจริงๆ เป็นวันแห่งความสุข สนุกสนาน

..เริ่มต้นด้วยตอนเย็น เหล่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สมาชิกในเว็บไซต์ 2how.com ยี่สิบกว่าคน มาร่วมกินเลี้ยงวันเกิดย้อนหลัง (29 ก.ย.) ให้กับน้องปอ โดยนัดกินกันที่สเต็กสามย่าน อิ่ม..อร่อย และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไปตามระเบียบเหมือนเคย

..หลังจากนั้น โปรแกรมต่อมาจึงเริ่มต้นขึ้น ที่ Brick Bar ถนนข้าวสาร กับกลุ่มเพื่อนอีก 7 คน สนุกสนานและมันสุดๆ จริงๆ อาจจะเป็นเพราะกลุ่มเพื่อนสนิทมากันอย่างครบถ้วน และเนื่องด้วยหลังๆ เพื่อนๆ หลายคน งานเยอะมากจนไม่สามารถปลีกเวลามาเจอกันได้เลย พอมาเจอกัน ก็เลยเหมือนได้มาปลดปล่อย

  • แอ้ม : ไม่ได้เห็นมึงสนุกอย่างนี้มานานแล้วว่ะ

  • พี่แจ็ค : แด๊นซ์ไม่เบาเลยนะพี่ ด้านมืดออกแล้ว ฮ่า..ฮ่า

  • สรุจ : ผมรู้ว่าคุณสนุก แต่มีอะไรค้างคาใจ ไว้รอวันที่ 12 ก่อนนะ คิคิ

  • โต้ง : คราวหน้ากินน้อยๆ นะ เดี๋ยวเมามากแบบคราวนี้อีก

  • น้องเบสต์ : คอสุราเหมือนกันนี่นา คราวหน้าพี่ชงให้ใหม่อีกนะ

  • น.ม. : ผมจะไม่บอกใครนะ ว่าคราวนี้คุณ น.ม. ไปเต้นบน stool

  • น.น. : ขอบคุณที่มาสนุกด้วยกันนะคร้าบ ดีใจจัง..ดีใจจัง

..สรุปว่าเมื่อคืนนี้ เป็นค่ำคืนแห่งความสุขอีกคืนหนึ่งจริงๆ ขอบคุณเพื่อนๆ ร่วมก๊วนทุกคนเลยครับ

ครั้งแรกของ NGM

วันนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1888 เป็นวันวางแผงฉบับปฐมฤกษ์ของ National Geographic Magazine นับจนถึงวันนี้ก็ 107 ปีพอดี ช่างเก่าแก่และยาวนานจริงๆ

ขอให้ NGM มีสาระดีๆ แบบนี้ ให้พวกเราอ่านกันไปนานๆ นะครับ